#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/local/474274

กรมชลฯพร้อมขับเคลื่อน‘โขงเลยชีมูล’ แก้ปัญหาภัยแล้งอีสานยั่งยืน
นายเฉลิมเกียรติ คงวิชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานพร้อมบูรณาการกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล ให้เป็นจริง เพื่อแก้ปัญหาน้ำได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนน้ำ ซึ่งในปัจจุบันภาคอีสานมีพื้นที่การเกษตร 63.85 ล้านไร่ แต่เป็นพื้นที่ชลประทานเพียง 8.69 ล้านไร่ หรือ คิดเป็นร้อยละ 13.61 ของพื้นที่การเกษตร ทำให้ผลผลิตงการเกษตรในพื้นที่นอกเขตชลประทานต่ำกว่าผลผลิตของพื้นที่ชลประทานถึง 1 ใน 3 นอกจากนี้ ยังประสบปัญหาดินเค็มถึง 10.48 ล้านไร่ จำเป็นต้องเร่งขยายพื้นที่ชลประทาน เพื่อสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำ ทำให้รายได้ของคนอีสาน และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแน่นอน
สำหรับการดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล เพื่อจัดหาและบริหารจัดการน้ำแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ ในพื้นที่การเกษตรของภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยแรงโน้มถ่วง ขณะนี้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) กำลังศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการระยะที่ 1
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กรมชลประทานศึกษาความเหมาะสมโครงการระยะที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อปี 2560 เป้าหมายเพื่อส่งน้ำไปยังพื้นที่บางส่วนของโขงอีสานและชี และเติมน้ำลงเขื่อนอุบลรัตน์ หากดำเนินการได้จะเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ 1.69 ล้านไร่ ครอบคลุม 7 จังหวัด 27 อำเภอ ได้แก่ เลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย ชัยภูมิ และกาฬสินธุ์ มูลค่าลงทุนประมาณ 157,045 ล้านบาทระยะเตรียมการ 3 ปี ก่อสร้าง 6 ปี รวม 9 ปี
รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าวต่อว่า โครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล จะแบ่งการดำเนินโครงการออกเป็น 5 ระยะถึงจะเต็มศักยภาพ ซึ่งจะมีการสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ 17 แถว คลองส่งน้ำ สายหลัก 6 สาย ระยะทางรวม 2,273 กม. สามารถเพิ่มปริมาณน้ำในลุ่มน้ำโดยผันน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามาได้ถึง 29,881 ล้าน
ลบ.ม.ต่อปี จะทำให้มีพื้นที่รับประโยชน์ครอบคลุมถึง 20 จังหวัด 281 อำเภอ ส่งน้ำให้พื้นที่ชลประทานฤดูฝนได้ 33.57 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ส่งน้ำด้วยแรงโน้มถ่วง 21.73 ล้านไร่ และพื้นที่ส่งน้ำด้วยระบบสูบน้ำอีก 11.84 ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังส่งน้ำให้พื้นที่ชลประทานฤดูแล้งได้อีก 11.15 ล้านไร่ มีผู้ได้รับประโยชน์ในภาคการเกษตร 1.44 ล้านครัวเรือน หรือ 5.71 ล้านคน สร้างรายได้ภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 85,672 บาท/ครัวเรือน/ปี ลดความเสี่ยงจากฝนตกล่าช้าและฝนทิ้งช่วง ส่งน้ำให้พื้นที่วิกฤติแห้งแล้งและส่งน้ำยากได้อย่างทั่วถึง
“ผลประโยชน์ที่ได้จากการพัฒนาตามโครงการนี้ จะทำให้ภาคอีสานมีคลองชลประทานขนาดใหญ่เพิ่มอีกหกสายวางตัวอยู่บนขอบเนินที่สูง มีน้ำไหลตลอดปี เป็นการฟื้นชีวิตลำน้ำธรรมชาติเกือบทุกสายในภาคอีสาน โดยเฉพาะลุ่มน้ำมูล ลุ่มน้ำชี และพื้นที่ลุ่มน้ำเลยจุดเริ่มต้นของโครงการ นอกจากนี้ ยังจะแก้ปัญหาภัยแล้งปัจจุบันได้อย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพด้วย” รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าว