ซอกแซกอาเซียน : 12 มีนาคม 2563 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/478622

566101

ซอกแซกอาเซียน : 12 มีนาคม 2563

วันพฤหัสบดี ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ในฉบับก่อนผมเล่าข้ามไปนิด คือร่ายยาวเรื่องการเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงย่างกุ้งและต่อไปเมืองพุกามเลย แต่จริงๆ แล้ว ระหว่างที่รอเครื่องบินต่อที่ย่างกุ้งนั้น เรามีเวลาที่สนามบินเกือบครึ่งวันเพราะเที่ยวบินไปพุกามที่เร็วกว่านั้นที่นั่งเต็มเราจองไม่ทัน เลยต้องรอเที่ยวบ่าย ด้วยความที่พวกเรากับทีมเจ้าหน้าที่กรมการเกษตรเมียนมามีความคุ้นเคยกันดีมาก น้องๆ หลายคนในแอปเตอร์เพิ่งมีโอกาสไปเยือนเมียนมาครั้งแรก ก็เลยร้องขอให้ผู้มารับพาออกไปชมเมืองไหว้พระในเมืองย่างกุ้ง เพราะมิฉะนั้นก็คงต้องนั่งๆ นอนๆ จับเจ่าอยู่ในสนามบิน ซึ่งทางเมียนมาก็ใจดีอย่างยิ่ง รับจัดให้ตามที่ขออย่างเต็มใจ

ทางการเมียนมาต้องใช้รถยนต์ถึง 2 คัน พาพวกเราออกไปชมเมือง เพราะมีกระเป๋าใบใหญ่ติดตัวกันทุกคน จุดที่จะไปชมก็คือเจดีย์ชเวดากอง อันโด่งดังนั่นเอง พูดถึงรถยนต์เมียนมา นึกขึ้นได้ว่าจะเล่ามาหลายครา แต่ลืมไป คือ จะเรียนท่านผู้อ่านว่า ปกติการวิ่งรถของเขาตรงข้ามกับของเรา คือเขาวิ่งชิดขวาเหมือน สปป.ลาว แต่ด้วยเหตุที่รถยนต์เมียนมามีทั้งที่มีพวงมาลัยอยู่ด้านขวาและอยู่ด้านซ้ายปะปนกันจนไม่ทราบว่าแบบไหนจะมากกว่ากัน พนักงานขับรถยนต์เมียนมาจึงน่าจะมีทักษะการขับรถที่เยี่ยมยอดมาก เพราะถ้าต้องวิ่งรถฝั่งขวาของถนนขณะที่พวงมาลัยรถก็อยู่ทางด้านขวา เวลาจะแซง คนขับลำบากมากเนื่องจากมองไม่เห็นรถสวนมา ต้องมีอีกคนหนึ่งนั่งคู่ด้านซ้ายมือคนขับคอยมองให้และบอกสัญญาณ ผมคุยกับเจ้าหน้าที่เมียนมาที่รู้ เขาบอกว่าทางการเมียนมากำลังอยู่ระหว่างตัดสินใจว่า ตกลงจะเดินรถด้านไหนดีกว่ากันคาราคาซังมาจนบัดนี้เพราะยังตกลงกันไม่ได้ แต่เท่าที่ผมนั่งรถหลวงเมียนมา ส่วนมากได้รับการช่วยเหลือจากญี่ปุ่น จึงมักจะเป็นรถพวงมาลัยเหมือนบ้านเราทั้งนั้น น่าปวดหัวชะมัด

ผมค่อนข้างจะคุ้นเคยกับเส้นทางในย่างกุ้ง เห็นแล้วจำได้อยู่บ้าง (แต่ถ้าให้นำทางก็คงไปไม่ถูก) เพราะไปบ่อย ที่เจดีย์ชเวดากองเวลาไปถึงยังเป็นช่วงเช้าอยู่ แนะนำว่าหากใครต้องการไปชม ควรไปช่วงนี้ครับ เพราะถ้าท่านไปในช่วงบ่าย จะมีแสงแดดจัดและพื้นรับแดดมานานตั้งแต่เช้า ท่านเข้าวัดในเมียนมาทุกแห่งต้องปราศจากรองเท้าทุกชนิด ดังนั้นช่วงเวลาบ่าย จึงไม่เหมาะสมแก่การเดินด้วยประการทั้งปวงครับ แต่กระนั้น พุทธศาสนิกชนชาวเมียนมาทุกคนค่อนข้างจะศรัทธาในพระศาสนามาก ช่วงไหนของวันเราก็จะพบกับผู้คนมาเคารพสักการะเจดีย์หุ้มทององค์นี้อย่างไม่ขาดสาย และอีกอย่างที่ผมสังเกต คือ การทำบุญบริจาคเงิน ทุกศาสนสถานทั้งที่มีพระสงฆ์และไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจำ จะมีตู้รับบริจาคตั้งอยู่เต็มไปหมด และทุกตู้ก็มักจะมีแบงก์ธนบัตรบริจาคอยู่ค่อนข้างมากทีเดียว แถวๆ พุกามก็มีตู้และเงินบริจาคอยู่มากมายเช่นกัน มีวัดหนึ่งมีป้ายเขียนแสดงยอดเงินที่ได้จากการบริจาคทั้งปีของ ปี 2019 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าเมื่อคำนวนเป็นเงินไทยแล้ว เท่ากับ 30 ล้านบาท เลยทีเดียว

พวกเราใช้เวลาที่เจดีย์ชเวดากองนานพอสมควร เพราะกว้างใหญ่มากกว่าจะเดินได้รอบองค์ ผมเล่าให้คณะคนไทยให้ทราบว่าภาษาเมียนมา “ชเว” (Swe) แปลว่า ทอง ในเมียนมาคนเขาชอบทองมากๆ เลย เพราะไปที่ไหนๆ ก็พบคำนี้ สมัยปลายก่อนที่จะสิ้นสุดรัฐบาลทหารเมียนมา มีนายพลผู้นำคนหนึ่งที่เป็นคนตัดสินใจย้ายเมืองหลวงไปตั้งใหม่ที่เนปิดอว์ ชื่อนายพล ตาน ฉ่วย หนังสือพิมพ์บ้านเราเรียก ฉ่วย แต่ความเป็นจริงแล้วคือ ชเว ที่แปลว่าทองนั่นแหละครับ

หลังจากเดินรอบเจดีย์ขอพรขอบุญรวมทั้งบนบานกันถ้วนหน้าแล้ว เจ้าหน้าที่เมียนมาก็พาพวกเรามารับประทานอาหารกลางวันที่ร้านหนึ่งที่มีลูกค้าเยอะมาก ผมเคยไปกินมาหลายครั้งจากการนำของเจ้าหน้าที่กรมการเกษตร เป็นอาหารพื้นบ้านรสชาติเมียนมาแท้ ผมจำได้ว่าเคยเขียนเรื่องอาหารเมียนมาไปตอนสองตอนนานมาแล้ว ตอนนั้นอ้างคำพูดของเพื่อผู้มาประชุมว่ารวมทั้งความรู้สึกของผมเองที่ยังใหม่ๆ อยู่กับอาหารเมียนมาว่ามันเลี่ยนๆ รสชาติกลางๆ ไม่ไปทางใดทางหนึ่งสักอย่างแต่ตอนนี้ผมเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกใหม่แล้ว ขอกลับคำว่าอาหารเมียนมาหลายอย่างที่กินแล้วน่าจะโอเคเลยนะ

ชาญพิทยา ฉิมพาลี

chanpithya@apterr.org

Leave a comment