‘แหนแดง’คว้าแชมป์ปุ๋ยพืชสดให้ธาตุอาหารสูง #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/506984

‘แหนแดง’คว้าแชมป์ปุ๋ยพืชสดให้ธาตุอาหารสูง

วันพฤหัสบดี ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

กรมวิชาการเกษตร หนุนเกษตรกรใช้แหนแดงแห้งทดแทนปุ๋ยเคมีในแปลงพืชผัก ซึ่งให้ธาตุไนโตรเจนสูงกว่าพืชตระกูลถั่ว ชูเป็นพืชมหัศจรรย์ตอบโจทย์เกษตรครบวงจร เข้าทางเกษตรอินทรีย์ นำไปผสมกับวัสดุปลูกช่วยต้นกล้าโตไว แถมเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีเหมาะเป็นอาหารสัตว์ช่วงแล้งขาดแคลนหญ้า

นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเปิดเผยว่า แหนแดงเป็นเฟิร์นชนิดหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เป็นปุ๋ยพืชสดผลิตพืช เนื่องจากใบของแหนแดงมีโพรงใบซึ่งมีสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินชนิดที่ตรึงไนโตรเจนอาศัยอยู่ เมื่อนำมาวิเคราะห์ธาตุอาหารพบมีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสูงถึง 5% ขณะที่ปุ๋ยพืชสดตระกูลถั่วมีธาตุอาหารไนโตรเจนประมาณ 2.5-3%เท่านั้น ดังนั้น แหนแดงจึงเปรียบเสมือนโรงงานผลิตปุ๋ยไนโตรเจนทางชีวภาพที่ใช้ทดแทนหรือลดใช้ปุ๋ยเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้ดินด้วย โดยกองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ได้ปรับปรุงพันธุ์แหนแดงสายพันธุ์อะซอลล่า ไมโครฟินล่า ซึ่งให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์พื้นเมืองถึง 10 เท่า และสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วภายใน 30 วัน ให้ผลผลิตแหนแดงสดถึง 3 ตัน/ไร่ และสามารถตรึงไนโตรเจนได้ถึง 5-10 กิโลกรัม/ไร่ โดยหลังจากแหนแดงย่อยสลายจะปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาให้พืชได้อย่างรวดเร็ว

อธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าวว่า ที่ผ่านมาแหนแดงถูกนำมาใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยพืชสดเฉพาะในข้าวเพียงพืชเดียวเท่านั้น นักวิจัยจึงมีแนวคิดต่อยอดนำแหนแดงไปใช้ประโยชน์กับพืชอื่นให้หลากหลายชนิดมากขึ้นประกอบกับมีกระแสส่งเสริมเพิ่มพื้นที่การทำเกษตรอินทรีย์ แหนแดงจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญที่ตอบโจทย์ทำเกษตรอินทรีย์ เพราะใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเริ่มทดสอบนำแหนแดงสดไปตากแดดให้แห้งเพื่อนำไปใช้กับพืชผัก เพราะหากใช้แหนแดงสดต้องใช้ปริมาณมากพืชจึงจะได้รับธาตุอาหารที่เพียงพอ โดยเมื่อนำแหนแดงแห้งไปตรวจวิเคราะห์ธาตุอาหาร ปรากฏว่ามีคุณสมบัติไม่แตกต่างจากแหนแดงสด และยังใช้แหนแดงแห้งในปริมาณน้อยกว่าการใช้แหนแดงสด

จากผลการทดลองนำแหนแดงแห้งไปใช้กับพืชผักกินใบเช่น คะน้า กวางตุ้ง และผักสลัด โดยนำมาคลุกกับดินหรือรองก้นหลุม1 กำมือ โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี พบว่าให้ผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพเป็นที่น่าพอใจ จึงเหมาะสมมากสำหรับผลิตพืชผักอินทรีย์ ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากเกษตรกรสามารถผลิตและขยายพันธุ์แหนแดงไว้ใช้ได้เอง โดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำมาก โดยแหนแดงแห้ง 1 2 ตารางเมตร ซึ่งเมื่อเทียบกับปุ๋ยยูเรียแหนแดงแห้ง 1 กิโลกรัม มีปริมาณธาตุอาหารเท่ากับปุ๋ยยูเรีย ประมาณ 100 กรัม (1 ขีด)

ที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรสนับสนุนแม่พันธุ์แหนแดงและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงแหนแดงในบ่อแม่พันธุ์ สำหรับให้เกษตรกรนำไปเพาะเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์เอง ซึ่งวิธีเพาะเลี้ยงทำได้ง่ายโดยทำบ่อเพาะเลี้ยงแม่พันธุ์แหนแดง 2-3 บ่อ เพื่อให้เพียงพอต่อการนำไปขยายพันธุ์ต่อในบ่อขยายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยแหนแดงใช้เวลาขยายพันธุ์จนเต็มบ่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ และจะเจริญเติบโตขยายตัวไปได้เรื่อยๆ เกษตรกรจึงผลิตได้ตลอดไม่มีวันขาดแคลน รวมทั้งยังสามารถเก็บแหนแดงแห้งใส่กระสอบไว้ได้นานถึง 3 ปีโดยที่ธาตุอาหารยังอยู่ครบ

นอกจากนี้ แหนแดงแห้งยังผสมลงไปในวัสดุปลูกตั้งแต่เริ่มปลูกกล้าได้เลย โดยกล้าจะดูดซึมไนโตรเจนเข้าไปในรากพืชเมื่อนำกล้าลงแปลงปลูกพบว่าต้นกล้าที่ใช้แหนแดงผสมกับวัสดุปลูกสามารถเจริญเติบโตได้เร็วกว่าต้นกล้าที่ไม่ได้ใส่แหนแดง รวมทั้งยังสามารถนำแหนแดงไปใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ ห่าน ปลา วัว และสุกรได้ด้วย เพราะแหนแดงสดมีโปรตีนเป็นองค์ประกอบสูงถึง 30% จึงเหมาะสมสำหรับเป็นแหล่งโปรตีนให้สัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร โดยเพาะในหน้าแล้งขาดแคลนหญ้า จะเห็นได้ว่าแหนแดงเป็นพืชมหัศจรรย์ที่มีประโยชน์ในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรแบบครบวงจร

“ที่ผ่านมาเราอาจเคยได้ยินแต่การนำแหนแดงสดไปใช้ประโยชน์ในนาข้าว แต่วันนี้ได้พัฒนาต่อยอดและส่งเสริมการนำแหนแดงแห้งไปใช้ประโยชน์ให้พื้นที่ปลูกพืชผักโดยเฉพาะพื้นที่ทำเกษตรอินทรีย์ และในพื้นที่แห้งแล้ง โดยแหนแดงจะทำหน้าที่ดูดซับน้ำเอาไว้ให้พืช เนื่องจากแหนแดงแห้งสามารถซับน้ำได้ 300 เท่าของน้ำหนักตัว ที่สำคัญเกษตรกรสามารถเพาะเลี้ยงแหนแดงได้เองด้วยวิธีง่ายๆ ใช้ต้นทุนน้อยมากในการสร้างบ่อเพาะเลี้ยงแม่พันธุ์และบ่อขยายพันธุ์ เกษตรกรที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร โทรศัพท์ 0-2579-7523” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว

Leave a comment