LIFE & HEALTH : ผิวสวยใส..ห่างไกลฝ้า #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/508074

LIFE & HEALTH : ผิวสวยใส..ห่างไกลฝ้า

LIFE & HEALTH : ผิวสวยใส..ห่างไกลฝ้า

วันพุธ ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ฝ้า คือโรคที่ทุกคนรู้จักกันดีและเป็นปัญหากวนใจ ทุกครั้งที่ส่องกระจกแล้วเห็นเม็ดสีที่ใบหน้า จะทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจ อันดับแรกเรามาทำความรู้จักฝ้ากันก่อน ฝ้าคือภาวะที่เกิดเม็ดสีขึ้นตามบริเวณที่โดนแดดหรือความร้อนเยอะ ซึ่งพบมากบริเวณใบหน้า

 ข้อมูลจาก พญ.ปุณณภาดีวงกิจ แพทย์ผิวหนัง คลินิกสยามเดอร์มาติกส์ เปิดเผยว่า สาเหตุของการเกิดฝ้า (Melasma) นั้นยังไม่ชี้ชัด ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากหลายๆ ปัจจัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม ฮอร์โมน แสงแดด ความร้อนยาบางชนิด สารบางอย่างในเครื่องสำอางหรือครีม เป็นต้น เมื่อเราทำความรู้จักกับฝ้าแล้ว เรามารู้วิธีป้องกันฝ้ากัน ดังนี้

1.สิ่งที่กระตุ้นฝ้าอย่างชัดเจนคือ แสงแดด เนื่องจากแสงแดดมีทั้งรังสี UVA และ UVB เพราะฉะนั้นเราควรต้องป้องกันผิวเราจากรังสีเหล่านั้น ด้วยการทาครีมกันแดดทุกวันถึงแม้ว่าเราจะอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปข้างนอก การทาครีมกันแดดก็ถือเป็นเรื่องจำเป็น แล้วจะมีวิธีเลือกครีมกันแดดอย่างไร เราต้องเลือกครีมกันแดดที่ SPFอย่างน้อย 30 ขึ้นไป ถ้าเป็นไปได้เลือกค่า SPF สูงๆ ยิ่งดีค่ะนอกจากค่า SPF เราควรซื้อที่มีค่า PA มากกว่าหรือเท่ากับ 3 บวก ส่วนเรื่องเนื้อครีมนั้นเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของเรา นอกจากการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมแล้วเราต้องทาให้ปริมาณมากพอ ครีมกันแดดจึงจะสามารถป้องกันได้เท่ากับปริมาณ SPF ที่เราเลือกมา ปริมาณที่ควรทาต่อ 1 หน้านั้นคือ 2 ข้อนิ้วของเรา สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องฝ้า กระกระแดด แนะนำให้ทาบริเวณนั้นอีกเป็นชั้นที่สอง

2.นอกจากการทาครีมกันแดดแล้ว เราควรจะหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดหรืออยู่ในที่แสงแดดจัด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10 โมงเช้าถึงบ่ายสามโมง หากจำเป็นแนะนำให้ถือร่ม ใส่หมวกปีกกว้าง ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว เดินในร่มเงาของตึก และทาครีมกันแดดซ้ำบ่อยๆ

3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดนความร้อนโดยตรง เช่น การอยู่หน้าเตาอบร้อนๆ เป็นเวลานาน การทำครัว หากมีความจำเป็น แนะนำให้ใส่ face shield ซึ่งพอจะช่วยลดความร้อนที่จะสัมผัสผิวหน้าเราโดยตรงได้

4.การใช้ครีมหรือเครื่องสำอางหรือการกินยาบางอย่างชนิดนั้น อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นการสร้างเม็ดสี และทำให้เกิดฝ้าได้เนื่องจากถ้ายาเหล่านั้นมีส่วนประกอบของสารเคมีบางชนิด เช่น ทองแดง เงิน ทอง สารหนู เป็นต้น ซึ่งจะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเพราะฉะนั้นควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะใช้ยาใดๆ และไม่ควรซื้อครีมที่ไม่ผ่านมาตรฐานมาใช้

5.การกินยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนนั้นสามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ เพราะฉะนั้นควรกินเมื่อมีข้อบ่งชี้หรือได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

แม้ว่าเราจะป้องกันฝ้าอย่างเต็มที่แล้ว หรือในบางคนมีฝ้าเกิดขึ้นที่ผิวหน้าแล้ว เราจะทำอย่างไรดี การรักษาฝ้านั้นมีหลากหลายวิธี แต่ไม่ว่าจะปรึกษาด้วยวิธีใด การป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นมากขึ้นนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง มารู้จักวิธีการรักษาฝ้ากัน การรักษามีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นยาทา การลอกผิว ยากิน การฉีดฝ้า การทำเลเซอร์ต่างๆ

การรักษาแบบแรกคือ การใช้ยาทา ซึ่งยาทาฝ้านั่นมีหลายชนิด ได้แก่ ยาทากลุ่ม hydroquinone ยาทากลุ่มวิตามินเอ วิตามินซีแบบทากรดผลไม้ต่างๆ ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ซื้อยามาทาเอง แนะนำให้มาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เพื่อให้ได้รับคำแนะนำในการใช้ยาอย่างถูกต้องและเหมาะกับสภาพผิว ความรุนแรงของฝ้าการรักษาถัดมาคือ การทากรดผลไม้ เพื่อทำให้ผิวสว่างขึ้น และลอกฝ้าชั้นตื้น ซึ่งเราจะใช้การทากรดผลไม้เป็นการรักษาเสริมในกลุ่มคนไข้ฝ้า การทากรดผลไม้นั้นมีหลายตัวและหลายความเข้มข้นให้เลือก ขึ้นอยู่กับสีผิว ความรุนแรงและลักษณะของฝ้า จึงแนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการรักษาที่เหมาะสมและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง

วิธีการรักษาฝ้าวิธีถัดไปคือ การรับประทานยา ยากลุ่มนี้มีชื่อว่า tranexamic acid เป็นยากลุ่มที่ใช้รักษากลุ่มคนไข้ที่มีความผิดปกติทางการแข็งตัวของเลือด แต่ยากลุ่มนี้สามารถนำมาใช้รักษาฝ้าได้เนื่องจากมีกลไกที่ช่วยลดเม็ดสีได้ โดยขนาดที่เรานำมาใช้จะต่ำกว่าขนาดปกติที่ใช้รักษาเรื่องการแข็งตัวของเลือด ทั้งนี้การใช้ยากลุ่มนี้เพื่อรักษาฝ้าต้องขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ และจะใช้เมื่อใช้ยาทาแล้วยังไม่ตอบสนองได้ดีเท่าที่ควร ยากลุ่มนี้จะใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่สามารถใช้กินต่อเนื่องได้ตลอด นอกจากนี้ยังพบผลข้างเคียงจากยาได้ เช่น อาการปวดหัว ประจำเดือนมาผิดปกติ คลื่นไส้ และปวดหลังได้ นอกจากการรับประทานยา tranexamic acid เพื่อรักษาฝ้า ยังนำยาชนิดนี้มาฉีดที่บริเวณฝ้าได้ ถึงแม้จะยังไม่ใช่การรักษามาตรฐานของการรักษาฝ้า แต่สามารถนำมาเป็นการรักษาเสริมได้ เหมาะกับคนไข้ที่ทายารักษาฝ้ามาแล้วในระยะเวลาหนึ่ง แต่ยังไม่เห็นผลดีเท่าที่คาดหวังไว้ แต่ยังไม่อยากรับประทานยา การฉีดยาชนิดนี้เพื่อรักษาฝ้าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะไม่ได้รับผลข้างเคียงจากการกินยา ทั้งนี้การฉีดยารักษาฝ้า ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน

การรักษาถัดมาคือ การใช้แสงและเลเซอร์ ได้แก่ IPL/intense pulsed light เป็นเครื่องที่ปล่อยแสงออกมาเป็นความยาวคลื่นกว้างๆ ในกรณีที่เราจะใช้รักษาฝ้า เราจะใส่ตัวกรองเพื่อให้ได้ความยาวคลื่นที่จับกับเม็ดสีฝ้าเลเซอร์ที่จับเม็ดสี ทั้งนี้ต้องระวังในกลุ่มคนไข้ที่มีสีผิวเข้ม เนื่องจากโอกาสไหม้และเกิดรอยดำได้ง่าย

ส่วนเลเซอร์ที่นิยมใช้รักษาฝ้าคือ เลเซอร์ที่มีชื่อว่า Q-switched laser เป็นเลเซอร์กลุ่มที่จับกับเม็ดสีโดยตรง โดยลงได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ แต่การใช้เลเซอร์ชนิดนี้ในการรักษาฝ้านั้น ต้องใช้พลังงานที่ต่ำยิง และไม่ยิงถี่จนเกินไป เนื่องจากถ้าใช้พลังงานสูงอาจจะเป็นการกระตุ้นฝ้าให้กลับมาได้ ทั้งนี้ การใช้เลเซอร์เพื่อรักษาฝ้าควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แสงและเลเซอร์ไม่ใช่การรักษาหลักในการรักษาฝ้า เป็นเพียงการรักษาเสริมทั้งนี้สามารถติดตามข้อมูลได้ที่www.facebook.comDermatiks/

เพื่อคงความสวยใสของผิวคุณ โดยสรุปการรักษาฝ้านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดฝ้า หากเกิดแล้วควรชะลอไม่ให้เป็นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากฝ้าเป็นโรคที่เรื้อรัง เป็นๆ หายๆ หากมีตัวกระตุ้น การรักษามีหลายวิธีควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Leave a comment