ส่องเกษตร : ว่ายไม่ถึงฝั่ง #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/511159

ส่องเกษตร : ว่ายไม่ถึงฝั่ง

วันพุธ ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.

คำว่า “เกษตรสร้างมูลค่า” เป็นคำที่มักจะได้ยินบ่อยๆ และมีความถี่มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงยุทธศาสตร์ชาติหรือการปฏิรูปประเทศด้านการเกษตร เพราะทุกคนเห็นตรงกันว่าการเกษตรจะต้องเปลี่ยนไปไม่สามารถทำเหมือนกับที่เคยทำมาแบบเดิมๆ ได้ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก การเกษตรที่ถูกเรียกว่าเป็นเศรษฐกิจฐานราก หรือ กระดูกสันหลังของชาติ ตามแต่การประดิษฐ์คำขึ้นมาเพื่อเชิดชู หรือสร้างความชอบธรรมในการดำเนินการใดๆก็ตาม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถูกมองว่าเป็นการพัฒนาการเกษตร โดยต่อยอดจากแนวความคิดต่างๆ ที่หลากหลาย และนำไปสู่การพัฒนาโครงการต่างๆ ขึ้นมาภายใต้สมมุติฐานดังกล่าว ผลจากโครงการที่พัฒนาอาจเกิดประโยชน์มากบ้างน้อยบ้าง หรืออาจเป็นเพียงการจัดฉากหรูๆ เพื่อซ่อนกลโกงต่างๆไว้ อย่างที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่ก็มีมิใช่น้อย

การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม มีการจัดระเบียบสังคมโลก การพัฒนาของเทคโนโลยี หรือแม้แต่ความต้องการพื้นฐานที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะทางด้านอาหารและโภชนาการ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละสังคม สินค้าเกษตรจึงเป็นสินค้าอีกประเภทหนึ่งที่ต้องรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเช่นกัน การผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรในรูปแบบของวัตถุดิบขั้นต้นจำเป็นต้องปรับตัว หากต้องการผลตอบแทนที่ดีขึ้น จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระบบการผลิต มีการใช้เทคโนโลยีเข้าไปจัดการระบบการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอน ส่งผลให้เกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการปรับเปลี่ยนไป และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค

ในอดีตการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร จะถูกมองว่าเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยาก ต้นทุนสูง เกษตรกรไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง จึงจำหน่ายในรูปของวัตถุดิบเพื่อให้ผู้ประกอบการนำมาแปรรูปแทน อย่างไรก็ตามมีเกษตรกรหลายรายที่เรียนรู้และปรับตัวมาเป็นผู้แปรรูปสินค้าเอง เพิ่มมูลค่า สร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ และการใช้ประโยชน์จากผลผลิตที่แปรรูปให้กว้างขวางมากขึ้น เป็นต้นแบบในการดำเนินการให้กับเกษตรกรรายอื่นๆ ผมได้มีโอกาสเดินทางพบปะกับกลุ่มเกษตรกรที่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่สำคัญของภาครัฐ เช่น เกษตรกรในกลุ่มแปลงใหญ่ทุเรียนจังหวัดชุมพร ซึ่งกลุ่มดังกล่าวมีการรวมกลุ่มประมาณ 30 ราย โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้เกิดขึ้นกับธุรกิจของกลุ่ม ด้วยการร่วมแรงร่วมใจ ทุ่มเท และมีความสามัคคีกันในการพัฒนากระบวนการผลิตและการบริหารจัดการของตน จากที่เคยรวบรวมทุเรียนขายให้กับล้งทุเรียนซึ่งสมาชิกกลุ่มมองว่ามีความเสี่ยงสูง จึงพยายามปรับปรุงกระบวนการผลิตและบริหารจัดการกันใหม่ ทั้งการผลิตทุเรียนคุณภาพ การแปรรูปทุเรียนในรูปแบบของทุเรียนแช่เยือกแข็ง โดยเก็บรักษาทุเรียนที่อุณหภูมิ-18 องศาเซลเซียล เพื่อรอการจำหน่าย และการทำทุเรียน fresh dry เป็นการดึงน้ำออกจากเนื้อทุเรียน สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆขึ้นมา และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ ในขณะที่การบริหารจัดการมีการพัฒนา Application ของตนเองขึ้นมา เพื่อนำข้อมูลการผลิตของสมาชิกเข้ามาอยู่ในระบบข้อมูล ทำให้สามารถติดตาม ประเมินสถานการณ์ได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด จึงสามารถจัดการปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นระบบ ส่งผลให้กลุ่มแปลงใหญ่ทุเรียนดังกล่าว เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการ สมาชิกมีความสุขในการร่วมมือร่วมใจกัน ใช้ชีวิตตามวิถีของตนเอง

ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งทำสวนทุเรียนร่วมกับการปลูกกล้วยเล็บมือนางแซม ได้รับการอุดหนุนและช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงาน เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ นับว่าสมบูรณ์มาก ไม่ว่าจะเป็นโรงอบพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องบรรจุ ตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปแต่สิ่งที่ขาดคือระบบการบริหารจัดการกลุ่มที่ดีและมีความเหมาะสม ส่งผลให้มีปัญหาด้านวัตถุดิบไม่เพียงพอ ขาดความต่อเนื่องในการดำเนินการ เครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ จึงใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นว่า จากฐานความคิดที่ว่า ผลผลิตล้นตลาด จำเป็นต้องมีการแปรรูป มีการลงทุนเครื่องจักรอุปกรณ์เข้าไป ผลที่ตามมาคือ ผลผลิตไม่ล้นตลาด แต่ผลผลิตไม่เพียงพอที่จะคุ้มทุนในการแปรรูป กลายเป็นปัญหาวนกันไปมา เหมือนว่ายน้ำไปไม่ถึงฝั่งสักที เพราะปัญหามันวนๆ กันอยู่ สุดท้ายอาจถึงกับยกธงขาวยอมแพ้กันไปเอง หรือกัดฟันสู้แล้วอ่อนแรงจมหายกันไป สภาพการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้ได้คิดว่าการแก้ปัญหาทางการเกษตรอย่าได้มองกันแค่มิติเดียว มองให้ลึก มองให้ขาด จากตัวตนของแต่ละกลุ่ม ฝั่งคงไม่ไกลเกินไปถึง

สมชาย ชาญณรงค์กุล

Leave a comment