รายงานพิเศษ : ‘ยุภาพร คงสมบัติ’ต้นแบบครูบัญชีอาสา พลิกชีวิตจากพนักงานประจำสู่เกษตรกรมืออาชีพ #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/517154

รายงานพิเศษ : ‘ยุภาพร คงสมบัติ’ต้นแบบครูบัญชีอาสา พลิกชีวิตจากพนักงานประจำสู่เกษตรกรมืออาชีพ

รายงานพิเศษ : ‘ยุภาพร คงสมบัติ’ต้นแบบครูบัญชีอาสา พลิกชีวิตจากพนักงานประจำสู่เกษตรกรมืออาชีพ

วันพฤหัสบดี ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.

นางยุภาพร คงสมบัติ เกษตรกรดีเด่นสาขาบัญชีฟาร์ม ปี 2561จากจังหวัดชัยภูมิซึ่งปัจจุบันพลิกผันชีวิตจากพนักงานบริษัท มาสู่อาชีพเกษตรกรรมได้อย่างมั่นคงยั่งยืน และเป็นอีกหนึ่งต้นแบบเกษตรกรที่ใช้แนวทางการทำบัญชีมาเป็นเข็มทิศให้กับชีวิตของตนเอง สามารถพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมภายใต้การศึกษาหาความรู้ พัฒนาปรับเปลี่ยนเรียนรู้ อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงเป็นแบบอย่างทางด้านความคิดที่มีส่วนในการผลักดันให้เพื่อนพี่น้อง และเกษตรกรในพื้นที่ ได้เห็นถึงความสำคัญในการทำบัญชีรายรับรายจ่าย ภายใต้บทบาทครูบัญชีอาสาอีกด้วย

นางยุภาพร เปิดเผยว่า เดิมครอบครัวปลูกอ้อยบนพื้นที่ 50 ไร่ เนื่องจาก อยู่ในเขตการส่งเสริมการปลูกอ้อยของโรงงานน้ำตาลบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ดังนั้น อ้อยจึงนับเป็นพืชเศรษฐกิจของเกษตรกรส่วนใหญ่ในพื้นที่แต่การอาศัยรายได้จากการปลูกอ้อยเพียงอย่างเดียวนั้น เป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งเนื่องจาก 1 ปี เก็บผลผลิตได้เพียงครั้งเดียว และราคาอ้อยเป็นไปตามกลไกของตลาดเกษตรกรไม่สามารถกำหนดราคาเองได้ หากปีใดราคาอ้อยตกต่ำ เกษตรกรก็แทบจะอยู่ไม่ได้ ต้องเป็นหนี้กับทางโรงงานอยู่เรื่อยไปการเปลี่ยนแปลงในด้านการเกษตรของครอบครัวเริ่มเกิดขึ้น เมื่อความต้องการทางด้านการเงินมีมากขึ้น เพราะต้องส่งลูกเรียนทั้งในระดับมัธยมศึกษา และปริญญาตรี ซึ่งในขณะนั้น ผู้เป็นพ่อจึงตัดสินใจขุดบ่อเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ในการเกษตร จากนั้นรื้อแปลงอ้อยเปลี่ยนมาปลูกพืช ผัก หมุนเวียน 5 ไร่ วางแผนให้ก่อเกิดรายได้รายวัน ด้วยการเก็บผักขายในหมู่บ้าน ชุมชนใกล้เคียง และส่งขายตลาด ทำให้มีรายได้ส่งลูกเล่าเรียนจนจบปริญญาตรีทั้ง 3 คน

ส่วนตน ภายหลังจบปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก็ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งได้รับค่าแรงเป็นเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาในขณะนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือ ความเป็นอยู่ของพ่อแม่ ที่ยังประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่ท่านรักเหมือนเดิม ซึ่งแก่เฒ่าและไม่มีคนดูแล ทำให้เกิดความคิด อยากกลับบ้านเพื่อมาดูแลพ่อแม่และช่วยทำการเกษตร จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำการเกษตรเต็มตัว โดยขณะนั้นพ่อ แม่ เริ่มทดลองปลูกพุทราสามรส 10 ไร่ จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้นำความรู้มาช่วยครอบครัวทำการตลาด เริ่มจาก ขายในชุมชน ตลาดใกล้บ้าน ต่างอำเภอ และต่างจังหวัด และด้วยพุทราเป็นผลไม้ที่ไม่อยู่ในกระแส คนปลูกไม่มาก การเก็บเกี่ยวผลผลิตนานถึง 6 เดือน ไม่มีความเสี่ยงเรื่องราคามากนัก ประกอบกับการผลิตของให้ได้คุณภาพตามความต้องการของลูกค้า จึงทำให้เป็นที่นิยมของลูกค้า จึงขยายพื้นที่ปลูกเป็น 25 ไร่ และนำความรู้ที่เรียนมาเพื่อใช้บริหารจัดการในการเกษตรทั้งด้านการวางแผนการปลูกพืช การวางแผนการตลาด โดยใช้ข้อมูลบัญชีต้นทุนประกอบอาชีพเป็นพื้นฐานในการวางแผน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าอย่างสูงสุดทำการเกษตร โดยเน้นคุณภาพของผลผลิต ปลอดภัยปราศจากการเข้าทำลายของโรคและแมลงหรือสารพิษตกค้าง ตลอดจนรอยตำหนิ สร้างความแตกต่างเพื่อจูงใจในการตัดสินใจซื้อ มีความแปลกใหม่ หายากในตลาดทั่วไป และเป็นการสร้างอัตลักษณ์ของสินค้าตนเอง การตั้งราคา หลีกเลี่ยงการปลูกพืชในฤดูที่มีผู้ผลิตและผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก เพียง 4 ปี ที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำการเกษตรอย่างเต็มตัวก็สามารถปลดเปลื้องภาระหนี้สินจำนวนประมาณ 600,000 บาท ที่เกิดขึ้นเมื่อคราวลงทุนทำไร่อ้อยได้สำเร็จ และเริ่มมีเก็บออมเงินส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการลงทุนปลูกพืชใหม่ๆในครั้งต่อไป และอีกส่วนหนึ่งเก็บไว้เพื่อใช้ในคราวฉุกเฉิน

ด้วยความสำเร็จและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนในปี 2559 จึงได้เข้าอบรมครูบัญชีอาสา เพื่อทำหน้าที่เป็นครูบัญชีอาสาของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านบัญชีให้กับเกษตรกรและประชาชนทั่วไป และนับว่าเป็นโอกาสดีอีกครั้ง เมื่อพื้นที่เกษตรของตนได้รับคัดเลือกให้เป็นศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ประจำอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เพื่อเป็นศูนย์กลางถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชน จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ตนถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากการทำการเกษตรการใช้ข้อมูลทางการบัญชีเพื่อวางแผนด้านการเกษตร ให้ผู้ที่สนใจได้อย่างกว้างขวางมากขึ้นซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนเข้ามาเยี่ยมเยือนและเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง

นางยุภาพรกล่าวอีกว่า จากความสำเร็จในเบื้องต้นที่กล่าวมา ตนส่งเสริมทำบัญชีให้เกษตรกรรายอื่นในพื้นที่ เพื่อให้เขาหันมาประกอบอาชีพอย่างมีหลักการมากขึ้น ซึ่งใช้ประสบการณ์ของครอบครัวตนเองเป็นตัวอย่างถ่ายทอด แรกๆ ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก กระทั่งการประกอบอาชีพของเขามาถึงทางตัน เขาจึงยอมปรับเปลี่ยนตัวเอง ทำให้ขณะนี้ในต.บ้านแก้ง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ มีเกษตรกรที่ลดพื้นที่ปลูกอ้อยแล้วหันมาทำเกษตรผสมผสานสร้างรายได้รายวันกันมากขึ้น ส่งผลให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“สำหรับตนแล้วการทำบัญชีต้นทุนประกอบอาชีพ ถือเป็นเข็มทิศสำคัญในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างยิ่ง และไม่ใช่เพียงเฉพาะอาชีพเกษตรกรเท่านั้น ทุกอาชีพก็ควรให้ความสำคัญในการทำบัญชี ประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพก็สามารถนำหลักการทำบัญชีมาใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์ได้เช่นกัน เพื่อให้การดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ความไม่ประมาท ลดความเสี่ยงได้อย่างมีเหตุ
มีผล ปัจจุบันพื้นที่ทำเกษตรของตนไม่ปลูกอ้อยแล้ว แต่หันมาทำเกษตรผสมผสานเต็มรูปแบบ ทั้งปลูกไม้ผล พืช ผัก ปลูกข้าวเลี้ยงสัตว์ ขุดบ่อน้ำ ทำกิ่งพันธุ์ไม้ผล ทำให้มีรายได้ทุกวันตลอดทั้งปีมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างมั่นคง” นางยุภาพร กล่าว

Leave a comment