#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/local/522299

กนช.ไฟเขียวสร้างแหล่งน้ำ3โครงการ อ่างฯ95แห่งวิกฤติสั่งทำแผนรับมือแล้ง
วันศุกร์ ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2563, 06.00 น.
กนช.ไฟเขียว 3 โครงการพัฒนาแหล่งน้ำมูลค่ากว่า 5,900 ล้านบาท หวังสร้างความมั่นคงให้พื้นที่ EEC นครราชสีมา และเชียงราย พร้อมเผยสถานการณ์น้ำในอ่างฯขนาดกลาง-ขนาดใหญ่ น่าห่วง สั่งเฝ้าระวัง 95 แห่งน้ำน้อย เร่งทำแผนจัดสรรน้ำรับมือภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นในปีหน้า
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า ในการประชุม กนช. ครั้งที่ 3/2563 พิจารณาเห็นชอบหลักการให้ดำเนินโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จ.ระยอง ของกรมชลประทาน พัฒนาแหล่งน้ำในแผนพัฒนารองรับเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) สามารถกักเก็บน้ำได้ 40 ล้าน ลบ.ม. เมื่อแล้วเสร็จสามารถขยายพื้นที่ชลประทานได้ 30,000 ไร่ เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับอุปโภค-บริโภคและการเกษตรในเขต อ.เขาชะเมา ช่วยบรรเทาอุทกภัยช่วงฤดูน้ำหลากในเขตอ.แกลง และเป็นแหล่งน้ำสำรองสนับสนุน EEC โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565-67 งบประมาณ 3,551 ล้านบาท
2.โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง จ.เชียงราย ของกรมชลประทานเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง และช่วยชะลอการไหลของน้ำในฤดูน้ำหลาก บรรเทาปัญหาน้ำท่วมในต.ป่าแดด อ.แม่สรวย เมื่อแล้วเสร็จ จะกักเก็บน้ำได้ 32 ล้านลบ.ม. ส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรได้ 17,200 ไร่ และส่งน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภคของราษฎรได้ 4,775 ครัวเรือน ระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี ตั้งแต่ปี 2565–68 งบประมาณทั้งสิ้น 1,325 ล้านบาท
และ 3.โครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่าจากแหล่งน้ำลำตะคองมายังโรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า จ.นครราชสีมา ของเทศบาลนครนครราชสีมา เป็นโครงการก่อสร้างและปรับปรุงระบบประปาทดแทนระบบเดิมที่เสื่อมสภาพ เพื่อลดการสูญเสียในระบบท่อส่งน้ำและรองรับการขยายตัวของชุมชนเมืองพื้นที่เทศบาลนครนครราชสีมาและพื้นที่ข้างเคียง 7 ตำบล เมื่อแล้วเสร็จทำให้มีปริมาณน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาเพิ่มจากเดิม 50,000 ลบ.ม./วัน พื้นที่รับประโยชน์ 11 ตำบล 229,351 ครัวเรือนครอบคลุมพื้นที่ 76.70 ตารางกิโลเมตรงบประมาณ 1,047 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ซึ่งกนช.จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเปิดโครงการดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ ยังพิจารณาข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อกำหนดขอบเขต บทบาทอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานด้านบริหารทรัพยากรน้ำของประเทศ หลักเกณฑ์มอบหมายคณะกรรมการลุ่มน้ำปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการลุ่มน้ำประจำลุ่มน้ำตามมาตรา 27 ของพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ 2561 และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแม่น้ำลำคลอง ให้เป็นพื้นที่ชะลอและรองรับน้ำหลากช่วงฤดูฝนและกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้ในฤดูแล้ง โดยเร่งดำเนินการนำร่องใน 4 แห่ง ได้แก่ บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ บึงสีไฟ จ.พิจิตร หนองหาร จ.สกลนคร และคลองแสนแสบ กรุงเทพมหานคร
ด้านดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนช.ยังรับทราบสถานการณ์น้ำช่วงเดือนพ.ค.-21 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ไทยได้รับอิทธิพลจากพายุ ทำให้มีฝนตกหนักมีน้ำไหลเข้าในอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น จากพายุซินลากู พายุฮีโกส อิทธิพลจากร่องมรสุม และล่าสุดพายุโนอึล รวมแล้วเกือบ 5,000 ล้านลบ.ม. แต่ถือว่ายังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอ่างขนาดใหญ่ 35 แห่งทั่วประเทศมีปริมาณน้ำน้อยกว่าปี 2558 ที่มีน้ำในอ่างฯน้อยที่สุด และยังน้อยกว่าปีที่ผ่านมาเช่นกัน ซึ่งรองนายกฯเป็นห่วงสถานการณ์ดังกล่าว จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินปริมาณน้ำต้นทุนก่อนสิ้นฤดูฝนพร้อมเร่งทำแผนจัดสรรน้ำฤดูแล้ง ปี2563/64 ทั้งประเทศ ให้แล้วเสร็จกลางเดือนตุลาคม เพื่อเตรียมนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ทราบ ก่อนให้หน่วยงานปฏิบัตินำไปใช้บริหารจัดการน้ำ กำหนดมาตรการช่วยเหลือหากเสี่ยงได้รับผลกระทบ รวมถึงให้ข้อมูลภาคประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ก่อนเข้าฤดูแล้งด้วย
“ปัจจุบันแหล่งน้ำที่มีอยู่ทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมคิดเป็นร้อยละ 49 ของปริมาณกักเก็บ โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางถึง 95 แห่ง ที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากมีปริมาณน้ำใช้การได้น้อยกว่า 30% แบ่งเป็น อ่างฯขนาดใหญ่ 11 แห่ง และอ่างฯขนาดกลาง 84 แห่ง ซึ่งเบื้องต้นสทนช.ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ประเมินน้ำต้นทุนในทุกแหล่งน้ำ ความต้องการน้ำฤดูแล้งปี 2563/64 ของทุกลุ่มน้ำ เพื่อนำไปสู่การกำหนดแผนจัดสรรน้ำโดยเฉพาะพื้นที่ที่น่าเป็นห่วงขณะนี้คือ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่พบว่าหากต้องสนับสนุนน้ำในการเพาะปลูกกรณีฝนทิ้งช่วงต้องมีปริมาณน้ำ 9,000 ล้าน ลบ.ม. แต่ปัจจุบันปริมาณน้ำใช้การรวมของ 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ประมาณ 4,000 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้น ช่วงฤดูฝนอีกประมาณ 1 เดือนที่เหลือจำเป็นต้องเร่งเก็บกักน้ำเพิ่ม และบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง เป็นไปตามแผน” ดร.สมเกียรติ กล่าว