‘กีฬา’ หนุนเศรษฐกิจท่องเที่ยว ‘บางแสน’ เมืองระดับโลก ‘สายวิ่ง’ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/540410

‘กีฬา’หนุนเศรษฐกิจท่องเที่ยว  ‘บางแสน’เมืองระดับโลก‘สายวิ่ง’

‘กีฬา’หนุนเศรษฐกิจท่องเที่ยว ‘บางแสน’เมืองระดับโลก‘สายวิ่ง’

วันพุธ ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 06.45 น.

“เรามาจนถึงจุดนี้แล้ว ใช้เวลา 5 ปี ปีนี้เป็นปีที่ 6 แล้วที่เราจัดงาน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ จริงๆ แล้วมากกว่าวัตถุประสงค์ที่เราตั้งใจไว้ด้วย เนื่องจากว่าเบื้องต้นเองเรายังไม่คาดหวังว่าจะมาไกลขนาดนี้ ปัจจุบันเราทำได้สำเร็จแล้วก็เป็นที่ชัดเจนประจักษ์แล้ว ว่าที่สุดแล้วถ้ามีความร่วมมือร่วมใจกัน แน่นอนว่าของผู้จัด โดย Race Director (ผู้จัดการสนามแข่งขัน) แล้วก็ตัวเจ้าภาพร่วมคือท้องถิ่นที่เป็นผู้ร่วมจัดด้วยสถานที่

แล้วก็ยังมีภาครัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วก็ภาคเอกชนหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น Sponsor(ผู้สนับสนุน) ต่างๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ถ้าเรามีการประสานงานอย่างดีแล้วทำให้เห็นศักยภาพ ก็ก่อให้เกิดประสบความสำเร็จได้ แต่ไม่ใช่ความสำเร็จเฉพาะของเทศบาล หรือของบริษัทไมซ์เท่านั้น แต่เป็นความสำเร็จของ จ.ชลบุรี ของประเทศไทย ที่เราเป็นที่แรกในประเทศไทย เป็นคนที่ริเริ่มส่งงานวิ่งของเราเข้าสู่มาตรฐานโลก”

คำกล่าวของ ณรงค์ชัย คุณปลื้ม นายกเทศมนตรีเมืองแสนสุข ในงานแถลงข่าวงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอน “บางแสน 21” ประจำปี 2563 (Bangsaen21-2020) เมื่อช่วงบ่ายของวันที่19 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมและศูนย์ประชุมบางแสน เฮอริเทจ ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ท่ามกลางบรรยากาศสุดคึกคักเพราะมีประชาชนจำนวนมากที่สมัครเข้าร่วมวิ่งไว้ผ่านช่องทางออนไลน์ เดินทางมาลงทะเบียนรับเสื้อและหมายเลขประจำตัวนักวิ่ง ก่อนจะมีการวิ่งจริงในวันที่ 20 ธ.ค. 2563 เวลา 03.00 น.

งานวิ่งครั้งนี้ยังมีความพิเศษคือ “เป็นงานวิ่งงานแรกของประเทศไทยที่ผ่านการประเมินมาตรฐานโลกในระดับทอง (Gold Label) หรือระดับสูงสุด” จากองค์กรนานาชาติที่กำกับดูแลกีฬาวิ่งคือ สหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ (World Athletics หรือชื่อเดิมคือ IAAF) อีกทั้ง “บางแสนยังเป็นเมืองเดียวในทวีปเอเชีย ที่ผ่านการประเมินมาตรฐานโลกในการจัดงานวิ่งครบทั้ง 3 ระยะทาง” ได้แก่มินิมาราธอน (10 กิโลเมตร) ระดับทองแดง (Bronze Label) ฮาล์ฟมาราธอน (21 กิโลเมตร) ระดับทอง (Gold Label) และฟูลมาราธอน (42 กิโลเมตร) ระดับทองแดง (Bronze Label)

อนึ่ง การที่บางแสนสามารถมายืนอยู่ ณ จุดนี้ได้ ทั้งที่เป็นเพียงเมืองเล็กๆ เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ที่ผ่านการประเมินมาตรฐานโลกในการจัดงานวิ่งครบทั้ง 3 ระยะ ล้วนเป็นเมืองใหญ่ทั้งสิ้น เช่น กรุงมาดริด กับเมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส และกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ถือเป็นเรื่องน่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ทราบว่ามาจากการผลักดันของชายคนหนึ่งที่ไม่เคยจัดงานแข่งขันวิ่งมาก่อนเลยในชีวิต

“ตั้งแต่เมื่อ 7 ปีที่แล้ว เป็นคนไม่ออกกำลังกายเลยแล้วอยากอยู่กับลูกนานขึ้น ก็เลยลองหาอะไรที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเอง ก็คิดว่ามาราธอนน่าจะเป็นคำตอบของการเปลี่ยนชีวิตของเรา ก็ซ้อม 4 เดือนแล้วก็ไปมาราธอน บาดเจ็บหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำ เปลี่ยนระยะเร็วเกินไป แต่มันทำให้ผมกลายเป็นคนที่รักวิ่งโดยไม่รู้ตัว จากเดิมเป็นกีฬาที่ไม่มองว่าเป็นกีฬาด้วยซ้ำ มองว่ามันเป็นบทลงโทษ มาโรงเรียนสายร่างกายไม่ฟิต โค้ชกีฬาเราก็จะสั่ง

แต่พอเราวิ่ง มันเปลี่ยนเป็นความเข้าใจแล้วว่า วิ่งระยะไกลนี่มันมีความสุขในแบบของมันที่อธิบายยาก เพราะถ้ามันไม่สนุก คนทั้งโลกคนทั้งประเทศเขาไม่ทำกัน แล้วเราก็ไปวิ่งตามงานต่างๆ ก็มีความสุข แต่พอวิ่งสักพักหนึ่งก็จะเริ่มมองจากมุมมองของนักจัดงาน ผมเป็นสายจัดงานประชุมสัมมนา ทำไมงานโน้นอันนั้นดีแต่ขาดอันนี้ งานนั้นดีแต่ยังมีบางอย่างไม่สมบูรณ์ ทำไมมันไม่มีงานที่สมบูรณ์แบบครบจบอยู่ในงานเดียว”

เรื่องเล่าจาก รัฐ จิโรจน์วณิชชากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมซ์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (MICE & Communication Co., Ltd.) ที่กล่าวกับผู้สื่อข่าว “นสพ.แนวหน้า” ถึงก้าวแรกก่อนที่จะมีการผลักดันให้บางแสนกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักวิ่งทั่วโลก ซึ่งก็ต้องบอกว่า “ไม่ง่าย” เพราะการทำธุรกิจรับจัดงานประชุมสัมมนาแตกต่างกับการจัดงานวิ่ง 1.จำนวนผู้เข้าร่วมงาน งานประชุมสัมมนาส่วนใหญ่มีผู้เข้าร่วมประมาณ 200-300 คน หรือมากที่สุด 1,500 คน แต่งานวิ่งอย่างน้อยๆ จะอยู่ที่ 3,000 คน ไปจนกระทั่งถึงหลักหมื่นคน

กับ 2.ประเภทของผู้เข้าร่วมงาน งานประชุมสัมมนาส่วนใหญ่ผู้เข้าร่วมจะเป็นตัวแทนขององค์กรต่างๆ ในขณะที่งานวิ่งผู้เข้าร่วมจะเป็นแต่ละบุคคล หรือต่างคนต่างมาเข้าร่วม (Personal หรือ Individual) อย่างไรก็ตาม ด้วยวิธีคิด “ผู้เข้าร่วมงานเป็นคนสำคัญ (VIP)” ที่เป็นหลักการทำงานด้านการจัดประชุมสัมมนา ทำให้เมื่อมาจัดงานวิ่งก็ได้นำหลักการนี้มาใช้ด้วย จนทำให้งานวิ่งบางแสน21 กลายเป็นงานวิ่งที่มีความพิเศษโดดเด่นขึ้นมา

รัฐ กล่าวถึงความพิเศษของงานวิ่งบางแสน21 ซึ่งเริ่มจัดครั้งแรกในปี 2558 ที่หากจะใช้คำว่า “ปฏิวัติวงการวิ่ง” ก็คงไม่ผิดนักในเวลานั้น อาทิ 1.การแบ่งสีเสื้อและลักษณะเหรียญรางวัลตามระยะทางที่ผู้เข้าร่วมสมัครลงวิ่ง จากเดิมงานวิ่งในอดีตจำนวนมากไม่ว่าจะสมัครประเภทใด เช่น ฟันรัน (Fun Run : 5 กิโลเมตร)ไปจนถึงมินิมาราธอน ฮาล์ฟมาราธอน หรือฟูลมาราธอน มักจะใช้เสื้อสีเดียวกันและเหรียญรางวัลก็มีหน้าตาเหมือนกัน

2.การอำนวยความสะดวกกับนักวิ่ง งานวิ่งหลายๆ งานในอดีตไม่มีแม้กระทั่งป้ายบอกตามเส้นทางว่าวิ่งมาได้ระยะทางกี่กิโลเมตรแล้วนับจากจุดเริ่มต้น ดังนั้นงานวิ่งบางแสน21 จึงติดป้ายบอกระยะทางทุกๆ 1 กิโลเมตร หรือเรื่องของน้ำดื่ม งานวิ่งบางแสน21นอกจากคิดเรื่องปริมาณน้ำที่เพียงพอกับจำนวนนักวิ่งแล้ว ยังเตรียมทั้งน้ำเย็นและน้ำอุณหภูมิปกติไว้ด้วยเพราะนักวิ่งก็มีทั้งผู้ที่ต้องการและไม่ต้องการดื่มน้ำเย็น

3.การจัดการขยะ งานวิ่งหลายๆ งานในอดีตมักพบเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมว่าจัดแล้วก่อให้เกิดการทิ้งขยะเกลื่อนกลาดสถานที่จัดงาน ขณะที่นักวิ่งเองก็เคยชินกับการคิดว่าเดี๋ยวฝ่ายจัดงานคงจะทำความสะอาดเอง ดังนั้นการจัดการขยะจึงกลายเป็นหัวข้อสำคัญในการเตรียมงานวิ่งบางแสน21 ตั้งแต่ปีแรก โดยมีการจัดเตรียมถังขยะจำนวนมากไว้ตามจุดต่างๆ ที่จัดการแข่งขันรวมถึงประกาศรณรงค์เป็นระยะๆ ให้ผู้เข้าร่วมงานช่วยกันทิ้งขยะลงถังขยะ ซึ่งเป็นที่น่าภูมิใจมาก เพราะงานวิ่งบางแสน21 ในปีแรกไม่มีขยะทิ้งเกลื่อนถนน จะมีตกหล่นบ้างก็เพียงรอบๆ ถังขยะเท่านั้น

“5 ปีที่แล้ว ฟันรันถ้าพูดแบบภาษาเราก็คือลูกเมียน้อย เหมือนจ่ายเงินน้อยแล้วไม่ค่อยดูแล ไม่บริการอะไรเลย บางงานไม่ให้เหรียญ บางงานไม่ให้เสื้อ แต่เราคิดว่าไม่ได้ ใครเข้ามาสู่งานเราคุณต้อง Treat (ปฏิบัติ) อย่างเดียวกันหมด คุณจะให้อะไรก็ให้เหมือนกัน ไม่ให้ก็ไม่ต้องให้ คุณจะมีชิป (Chip) จับเวลา ซึ่งผมบอกได้เลยว่างานนี้เป็นงานแรกของประเทศที่ติดชิปจับเวลาให้กับ 5 กิโลเมตรด้วยตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราบอกว่าเราปฏิวัติวงการ เพราะบางที 5 กิโลเมตร เขาก็อยากรู้ว่าเขาวิ่งเร็ว-วิ่งช้า สถิติเป็นอย่างไร

เพราะฉะนั้นพอเราดูแลเขาดีเขาก็อยากวิ่ง ปีหน้าเขาก็มา 10 กิโลเมตร บางคนมา 21 กิโลเมตร บางคนอีก 2-3 ปีก็มา 42 กิโลเมตร ก็ยังเป็นนักวิ่งที่เป็นแฟนคลับของเราอยู่ พอเราจัดงานจบมันเป็น Talk of the Town (เรื่องที่ถูกพูดถึงมากในสังคม) ในวงการวิ่ง มันเหมือนงานวิ่งที่คนไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในประเทศไทย มันเกิดขึ้นแล้ว คือตอนนั้นความตั้งใจผมจริงๆ คิดว่าจัดครั้งเดียวเลิกนะ เพราะอาชีพหลักคือการจัดสัมมนา แต่พอจบงานแล้วดังเรามาจัดปีละครั้งก็ได้” รัฐ กล่าวถึงอีกหนึ่งความพิเศษของงานบางแสน21

รัฐ ยังกล่าวอีกว่า หลังงานบางแสน21 จัดมาได้ระยะหนึ่งแล้วมีเสียงชื่นชมว่าจัดได้ดีเทียบเท่ากับงานวิ่งหลายงานในต่างประเทศจึงประสานกับ สหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ เพื่อให้ส่งผู้แทนเข้ามาตรวจประเมิน โดยคุณสมบัติของงานวิ่งที่สามารถเข้าร่วมประเมินจะต้องจัดอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป “ก่อนหน้านี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) มีเพียงสิงคโปร์ประเทศเดียวที่มีงานวิ่งที่ผ่านการประเมินในระดับสูงสุด” จึงเริ่มนำเกณฑ์สากลมาปรับใช้ตั้งแต่การจัดงานในปีที่ 2

จากนั้นในการจัดงานปีที่ 3 (2560) จึงมีผู้แทนของสหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ กระทั่งงานในปีที่ 4 (2561) จึงผ่านมาตรฐานระดับทองแดง ซึ่งเป็นงานแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ก่อนจะผ่านมาตรฐานระดับเงิน (Silver Label) ในการจัดงานปีที่ 5 (2562) และในงานปีที่ 6 (2563) จึงได้รับการรับรองว่าผ่านการประเมินในระดับทองในที่สุด ทั้งนี้ ด้วยความช่วยเหลือของ ณรงค์ชัยคุณปลื้ม นายกเทศมนตรีเมืองแสนสุข ที่รับหน้าที่ประสานกับหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐให้ ทำให้ บ.ไมซ์ฯ สามารถทุ่มกำลังไปที่การจัดงานวิ่งได้อย่างเต็มที่

“การแพทย์” เป็นอีกเรื่องสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับนักวิ่งตลอดจนบุคคลอื่นๆ ที่เข้าร่วมงาน ทั้งในสถานการณ์ปกติที่มักจะมีข่าวนักวิ่งได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตระหว่างการลงแข่งขันวิ่งอยู่เนือง และสถานการณ์พิเศษอย่างปัจจุบันที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยผู้อยู่เบื้องหลังคือ นพ.เกษม ใช้คล่องกิจศัลยแพทย์ด้านกระดูกและข้อ และผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา ที่มารับหน้าที่ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ งานวิ่งฮาล์ฟมาราธอน บางแสน21 ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อน

นพ.เกษม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยทำงานด้านเวชศาสตร์การกีฬาอยู่กับ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) มีหน้าที่ดูแลอาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยของนักกีฬา กระทั่งเมื่อทาง บ.ไมซ์ฯ ต้องการจัดงานวิ่งที่บางแสน แล้วมีผู้แนะนำให้มาพบเนื่องจากต้องการหาแพทย์ที่อยู่ในพื้นที่ไปเป็นผู้วางระบบการแพทย์ภายในงาน จึงยินดีให้การสนับสนุน โดยวางมาตรการ 1.คัดกรองภาวะสุขภาพ ว่านักวิ่งคนใดบ้างมีโรคประจำตัวซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เพื่อเตรียมการดูแลนักวิ่งกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

โดยมีการติดอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กที่ตัวนักวิ่ง เมื่อนักวิ่งกลุ่มนี้คนใดมีอาการเจ็บป่วย เช่น เจ็บหน้าอก เป็นลมล้มฟุบลง ก็จะจัดทีมกู้ชีพเข้าให้การช่วยเหลือทันที เช่นเดียวกับมาตรการลดความเสี่ยงการระบาดของไวรัสโควิด-19 มีการคัดกรองว่าในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนถึงวันจัดงานวิ่ง ได้เข้าไปอยู่ในสถานที่ หรืออยู่ใกล้ชิดกับบุคคล หรือได้รับการวินิจฉัยทางการแพทย์ว่าเข้าข่ายความเสี่ยง ก็จะขอให้ถอนตัวจากการแข่งขันเพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย

รวมถึงวัดอุณหภูมิผู้ที่เข้ามาร่วมงาน ต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส มีการจัดเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ กำหนดให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนสวมหน้ากากปิดปาก-จมูกตลอดเวลาเมื่ออยู่ในงาน โดยสำหรับนักวิ่งจะได้รับอนุญาตให้ดึงหน้ากากลงต่อเมื่อออกจากจุดสตาร์ทไปแล้ว และการปล่อยนักวิ่งออกจากจุดสตาร์ททีละชุดเพื่อไม่ให้แออัดจนเกินไป กับ 2.จัดชุดเคลื่อนที่เร็วพร้อมเครื่องมือกู้ชีพที่จำเป็นสำหรับช่วยเหลือผู้มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งมีพาหนะหลากหลายตั้งแต่จักรยาน มอเตอร์ไซค์และรถพยาบาล เพื่อปรับใช้ตามความเหมาะสมในการเข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุ

อนึ่ง ในงานนี้ยังมีพิธีมอบผลการประเมินงานวิ่งบางแสน21 อย่างเป็นทางการจากสหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ โดยมี น.อ.ปารัช รัตนไชยพันธ์ รองเลขาธิการสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้มอบ ซึ่ง น.อ.ปารัช กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการประเมินมาตรฐานโลกตั้งแต่ระดับทองแดง (บรอนซ์ เลเบล-Bronze Label) ระดับเงิน (ซิลเวอร์ เลเบล-Silver Label) และระดับทอง (โกลด์ เลเบล-Gold Label)เพราะต้องรักษามาตรฐานให้ได้ทุกปี ไม่ว่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยของนักวิ่ง ด้านการจัดการ ด้านการบริการต่างๆ

“การวิ่งในไทย ผมเห็นนักวิ่งในแต่ละปีใหญ่โตขึ้นมาก สมาคมฯ เองในฐานะที่ดูแลกีฬาประเภทนี้บนถนน เราก็ใส่ใจมาตรฐานโดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย เราพยายาม Apply (ประยุกต์) มาตรฐานกติกาความปลอดภัยไปในทุกการวิ่ง เท่าที่เราจะมีส่วนร่วมได้มากที่สุด เหตุผลคือความปลอดภัยของนักวิ่ง ถึงแม้ทำแล้วแต่ก็มีนักวิ่งประสบอุบัติเหตุอยู่เนืองๆ ซึ่งก็เป็นงานหนักที่สมาคมฯ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันพัฒนาต่อไป” น.อ.ปารัช กล่าว

ในวันที่ 20 ธ.ค. 2563 ตั้งแต่เวลาประมาณ 01.00 น. บรรดานักวิ่งหลากเพศหลายวัย ทยอยเข้าสู่จุดสตาร์ท ณ ด้านหน้าโรงแรมและศูนย์ประชุมบางแสน
เฮอริเทจ เพื่อวอร์มร่างกายเตรียมพร้อม ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายจากลมที่พัดแรง ก่อนจะมีการปล่อยนักวิ่งชุดแรกในเวลา 03.00 น. ซึ่งผู้ชนะในประเภทชายโอเวอร์ออล คือ ณัฐวุฒิ อินนุ่มนักวิ่งทีมชาติไทย เจ้าของสถิติฮาล์ฟมาราธอน ประเทศไทย 1.05.19 ชั่วโมง โดยวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 1.07.41 ชั่วโมง และประเภทหญิงโอเวอร์ออล คือ ลินดาจันทะชิต นักวิ่งทีมชาติไทย วิ่งเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 1.22.15 ชั่วโมง

แต่สิ่งที่ได้มากกว่าความสนุกของนักวิ่งและความภาคภูมิใจของเมือง คือการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวและบริการในชุมชน เห็นได้จากยอดจองโรงแรมย่านบางแสนในช่วงใกล้ถึงวันงานหลายแห่งมีผู้เข้าพักเต็ม ขณะที่ตามร้านอาหารต่างๆ ก็ยังสามารถพบเห็นนักวิ่งสวมเสื้อวิ่งที่ระลึกในงาน “บางแสน21” และญาติสนิทมิตรสหายที่ติดตามมาให้กำลังใจมาใช้บริการอย่างคับคั่ง ซึ่งน่าเสียดายว่าหากไม่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 จนทำให้นักวิ่งต่างชาติไม่สามารถมาร่วมงาน..ก็เชื่อเหลือเกินว่าบรรยากาศคงจะคึกคักกว่านี้!!!

Leave a comment