#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/738294

เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร ภัยร้ายในกระเพาะอาหาร
วันอังคาร ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.
เชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรหรือเรียกโดยย่อว่าเอชไพโลไร เป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารมีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 4 ของผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมดทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากกว่า 7 แสนรายต่อปี เนื่องจากระยะแรกผู้ป่วยมักไม่มีอาการ มักตรวจพบมะเร็งในระยะลุกลามแล้ว จึงไม่สามารถรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารส่วนใหญ่ (ร้อยละ 90) มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อเอชไพโลไรองค์การอนามัยโลกประกาศให้เชื้อเอชไพโลไรเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 20 ล้านคน เชื้อเอชไพโลไรสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านทางการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ซึ่งอาจปนเปื้อนจากอุจจาระหรือน้ำลายของผู้ติดเชื้อก็ได้
ผู้ติดเชื้อเอชไพโลไรสามารถแสดงอาการได้หลากหลาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ บางรายอาจมีอาการปวดหรือแสบร้อนท้องบริเวณลิ้นปี่ ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหารอาจมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือสีดำเหนียวคล้ายยางมะตอย อาเจียนเป็นเลือดหรือสีดำ หรืออาจมีภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดเรื้อรังในทางเดินอาหาร ซึ่งทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หน้ามืด ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษา นอกจากผู้ป่วยที่มีอาการข้างต้นแล้ว ผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมีสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อเอชไพโลไรก็ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารด้วยเช่นกัน การตรวจวินิจฉัยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน การตรวจหาเชื้อในอุจจาระ การเป่าลมหายใจเพื่อตรวจหาเชื้อ ทั้งนี้การเลือกวิธีการตรวจการติดเชื้อที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์เป็นหลัก แพทย์จะใช้วิธีส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เช่น ผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปที่มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ หรือมีอาการเตือน ไม่ว่าจะเป็นเลือดออกในทางเดินอาหาร ภาวะโลหิตจาง น้ำหนักลดผิดปกติ เป็นต้น
การกำจัดเชื้อเอชไพโลไรโดยการรักษาให้หายขาด นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร และลดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย ถึงแม้ผู้ติดเชื้อเอชไพโลไรบางรายจะไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยยังคงแนะนำให้รักษาเนื่องจากเชื้อทำให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง เมื่อเวลาผ่านไปเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารจะเกิดการฝ่อและเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมากขึ้น แพทย์จะให้การรักษาผู้ติดเชื้อเอชไพโลไรด้วยสูตรยากำจัดเชื้อซึ่งประกอบด้วยยายับยั้งการหลั่งกรดและยาฆ่าเชื้ออย่างน้อย 2 ชนิดขึ้นไป รับประทานยาเป็นระยะเวลารวม 10-14 วัน หลังจากรับประทานยากำจัดเชื้อหมดอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจยืนยันว่ากำจัดเชื้อสำเร็จ โดยสามารถตรวจได้ด้วยวิธีที่ไม่ต้องส่องกล้อง ได้แก่ การเป่าลมหายใจตรวจเชื้อ การตรวจอุจจาระ
กล่าวโดยสรุป การติดเชื้อเอชไพโลไรเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ ถ่ายอุจจาระสีดำ อาเจียนเป็นเลือด หรือมีภาวะโลหิตจาง ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อที่แม่นยำและรักษาการติดเชื้อให้หายขาดโดยเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาอาการของโรค ป้องกันการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร และลดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
อาจารย์ แพทย์หญิงณัฐสุดา อ่วมแป้น
อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
