จากคลื่นลูกใหม่แห่งวงการอนุรักษ์ สู่ความสำเร็จในทศวรรษที่ 3 ของค่ายนิเวศวิทยาทางทะเล

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/789123

จากคลื่นลูกใหม่แห่งวงการอนุรักษ์  สู่ความสำเร็จในทศวรรษที่ 3 ของค่ายนิเวศวิทยาทางทะเล

จากคลื่นลูกใหม่แห่งวงการอนุรักษ์ สู่ความสำเร็จในทศวรรษที่ 3 ของค่ายนิเวศวิทยาทางทะเล

วันเสาร์ ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567, 06.00 น.

เสียงคลื่นที่กระทบกับเรือเป็นระลอก สะท้อนถึงระยะทางที่ไกลออกจากชายฝั่งไกลขึ้นทุกเมื่อ โดยเรือที่ลำเลียงเยาวชนนับสิบท่องทะเลอันดามันจังหวัดภูเก็ตครั้งนี้ ได้แล่นสู่มหาสมุทรพร้อมกับความตื่นเต้นของเด็กๆ และความหวังของวงการอนุรักษ์ในประเทศไทย ซึ่งแม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรือดังกล่าวจะแล่นออกไปพร้อมภารกิจมากมาย แต่ภารกิจในครั้งนี้แตกต่างออกไป และเรียกได้ว่าเป็นภารกิจที่สร้าง “คลื่นลูกใหม่” แห่งวงการอนุรักษ์ท้องทะเลไทยอย่างแท้จริง

เด็กๆ กว่า 20 ชีวิตที่ได้ออกภาคสนามศึกษาระบบนิเวศที่จังหวัดภูเก็ตในครั้งนี้ เป็นกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่จากโครงการค่ายนิเวศวิทยาทางทะเลที่ปีนี้ก้าวเข้าสู่ที่ปี 30 โดยจากความเชื่อมั่นว่า “การอนุรักษ์ต้องเริ่มต้นจากการศึกษา” ทำให้ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้ร่วมมือพัฒนาค่ายดังกล่าวขึ้น โดยได้เปิดรับเยาวชนรุ่นใหม่ที่สนใจด้านวิทยาศาสตร์
ทางทะเลเข้าร่วมค่าย พร้อมพัฒนาความรู้ความสามารถเกี่ยวกับนิเวศทางทะเล และส่งเสริมการเรียนรู้กระบวนการวิจัย เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของระบบนิเวศ ซึ่งตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมาค่ายดังกล่าวได้ผลิตบุคลากรที่มีความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศวิทยาทางทะเลให้กับประเทศไทยมาแล้วมากมายในหลากหลายสาขาอาชีพ

ผศ.ดร.อมรศักดิ์ สวัสดี ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และศิษย์เก่าของโครงการค่ายนิเวศวิทยาทางทะเล กล่าวถึงการเดินทางสู่ปีที่ 30 ว่า “ความพิเศษของค่ายปีนี้ได้นำกิจกรรมภาคสนามกลับมาอีกครั้ง โดยผสานกับการเรียนการสอนทางออนไลน์จากสถานการณ์โควิดที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนไปเป็นออนไลน์เต็มรูปแบบเมื่อสองปีที่ผ่านมา การได้เห็นเยาวชนทุกคนในวันนี้ สะท้อนถึงความสำเร็จของวงการวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่ได้สร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชนที่ได้เข้าร่วมค่ายจากรุ่นสู่รุ่นและขยายเครือข่ายกว้างขวางขึ้น จนทำให้ในปีนี้มีนักศึกษาเข้าร่วม จาก 17 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ภูมิใจที่ได้เห็นความตั้งใจและความตื่นเต้นในแววตาของเด็กๆ ที่จะเติบโตมาเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์ท้องทะเลของเรา”

ปิยพร รัตนวัลย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จากคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าว่า “ค่ายนี้ทำให้หนูได้มีโอกาสลองดำน้ำเป็นครั้งแรก วินาทีที่ได้ดำน้ำลงไปเห็นปะการัง ทำให้หนูเห็นตัวเองชัดเจนมากว่าจะไปต่อทางสายวิทยาศาสตร์ทางทะเลแน่ๆ นอกจากนี้ ตอนที่ค่ายพาไปดูศูนย์ช่วยเหลือเต่าทะเล ด้วยความที่ชอบเต่าทะเลอยู่แล้ว และตอนทำสัมมนาก็ทำหัวข้อ “เต่าเล็กควรออกจากฝั่ง” ก็ทำให้ประทับใจขึ้นไปอีก” นพณัฐ พลอยวงศ์ เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า “ไม่ได้เรียนมาทางนี้ แต่จุดเริ่มต้นคือมีโอกาสได้ไปดำน้ำและเคยได้ไปช่วยเก็บขยะและกู้ซากอวนใต้ทะเลเพื่อฟื้นคืนชีวิตให้ปะการัง ทำให้รู้สึกว่าเราต้องเสริมความรู้เพิ่มเติมเพื่อช่วยอนุรักษ์ท้องทะเลด้วยวิธีที่ถูกต้องมากขึ้น จนมาเจอค่ายนี้ที่ตอบโจทย์เป้าหมายของผมได้เห็นมุมมองของสิ่งแวดล้อมที่ต่างออกไปจากเดิมแล้วยังได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมเรือสํารวจสมุทรศาสตร์ “จักรทองทองใหญ่” ในฐานะตัวแทนที่ไม่ได้เรียนสายนี้โดยตรง อยากชวนเพื่อนๆ ที่มีใจรักทะเลหรือคนที่อยากเห็นอนาคตของทะเลที่ดีกว่าเดิมมาลองเข้าค่ายนี้กัน”

“ทะเลของเรากำลังเผชิญภัยคุกคามทางระบบนิเวศมากขึ้น เราจึงต้องการนักวิทย์ทางทะเลรุ่นใหม่ที่จะมาช่วยสานต่อภารกิจด้านการอนุรักษ์” สุเทพ เจือละออง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน กล่าวว่า “ทะเลถือเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีคุณค่าสูงทั้งด้านเศรษฐกิจ แหล่งอาชีพ และการท่องเที่ยวของประเทศไทย แต่ปัจจุบันภัยคุกคามทำให้ทะเลเสื่อมโทรมขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ที่กระทบเป็นห่วงโซ่นอกจากการดำเนินการด้านอนุรักษ์แล้ว อีกหนึ่งกุญแจสำคัญคือเราต้องบ่มเพาะทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักวิชาการในสาขาวิทยาศาสตร์ทางทะเลเพื่อสานต่อภารกิจนี้ต่อไปภูมิใจมากที่ได้เห็นโครงการฯ ดำเนินมาถึงปีที่ 30 และได้เห็นเครือข่ายเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในการปกป้องท้องทะเลขยายกว้างขึ้นเชื่อว่าค่ายนี้จะเป็นก้าวสำคัญของการอนุรักษ์ทะเลไทยต่อไป”

ด้าน พรสุรีย์ กอนันทา รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกิจการองค์กร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า “ตลอดกว่า60 ปีที่เชฟรอนดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เราได้สนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยแหล่งผลิตปิโตรเลียมของเราอยู่ในอ่าวไทยและเรายังมีสถานที่ปฏิบัติงานบนฝั่งทั้งในจังหวัดชายฝั่งทะเลอย่างสงขลา นครศรีธรรมราช และชลบุรี ท้องทะเลไทยจึงเปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 ของเชฟรอน ตลอด 30 ปีที่เชฟรอนสนับสนุนค่ายโครงการนิเวศวิทยาร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญอย่างมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ โดยศูนย์บริการวิชาการ ร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เราได้เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการสร้าง “พลังคน” ที่มีใจรักและความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งที่ผ่านมาโครงการฯ ได้สร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลมาแล้วกว่า 840 คน จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้ จะขยายผลสู่การสร้างความยั่งยืนในระยะยาว และสร้างองค์ความรู้ใหม่ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยของประเทศไทยต่อไปในอนาคต”

เรือที่กำลังแล่นกลับเข้าฝั่งจากภารกิจแห่งความหวัง ได้โอบอุ้มหัวใจที่มุ่งมั่นของเหล่าเยาวชนที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่จะส่งต่อแนวคิดและการลงมือทำด้านการอนุรักษ์สู่คนรุ่นหลังต่อไป โดยการเดินทางของค่ายนิเวศวิทยาที่ได้เข้าสู่ปีที่ 30 นี้ จะยังคงเดินหน้าสร้างแรงบันดาลใจเพื่อสร้าง “คลื่นลูกใหม่” ที่จะปกป้องท้องทะเลไทยสู่รุ่นต่อไปอย่างยั่งยืน

พรสุรีย์ กอนันทา

พรสุรีย์ กอนันทา

สุเทพ เจือละออง

สุเทพ เจือละออง

ผศ.ดร.อมรศักดิ์ สวัสดี

ผศ.ดร.อมรศักดิ์ สวัสดี

ปิยพร รัตนวัลย์

ปิยพร รัตนวัลย์

นพณัฐ พลอยวงศ์

Leave a comment