SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2784789

12 พ.ค. 2567 05:03 น.
- ข่าว
- ต่างประเทศ
- ไทยรัฐฉบับพิมพ์
แผน “กาซา 2035” อนาคตหลังสงคราม
สถานการณ์ความขัดแย้งในฉนวนกาซา ภูมิภาคตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง หลังจากกองทัพอิสราเอลตัดสินใจเริ่มปฏิบัติการทางทหารรอบใหม่ที่เมืองราฟาห์
หลังจากมีความชัดเจนแล้วว่า การเจรจาแลกเปลี่ยนตัวประกันกำลังอยู่ในสภาพ “พายเรือในอ่าง” ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา พอถึงช่วงที่การเจรจาไกล่เกลี่ยใกล้จะสัมฤทธิผล ทางกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์กลุ่ม “ฮามาส” ก็จะยื่นข้อเสนอทันทีว่า อิสราเอลจะต้องหยุดยิงอย่างถาวร
และแน่นอนว่าอิสราเอลก็จะไม่สามารถตอบตกลงได้ เนื่องจากมีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่แรกคือ การกำจัดกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุโศกนาฏกรรมวันที่ 7 ต.ค. 2566 ที่นักรบกลุ่มฮามาสบุกเข้าไปสังหารและลักพาตัวชาวบ้านรวมถึงแรงงานชาวไทย หวนกลับมาซ้ำรอย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบรรยากาศการเจรจาที่วนลูปมาตั้งแต่ต้นปี รวมถึงความพยายามอย่างแข็งขันของรัฐบาลสหรัฐฯในการเจรจาไกล่เกลี่ยกับทุกฝ่ายโดยที่ไม่กลัวว่าจะได้รับผลกระทบต่อคะแนนเสียงเลือกตั้ง ก็มีรายงานอ้างแหล่งข่าวที่น่าสนใจ เกี่ยวกับ “แผนขั้นต่อไป” สำหรับฉนวนกาซาหลังสิ้นสุดสงครามด้วยเช่นกัน
โดยกรณีนี้ทางหนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส ของสหรัฐฯ เป็นผู้เปิดประเด็นมาก่อนในช่วงต้นเดือน พ.ค.ว่า ในขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งหน้าฉากกำลังดำเนินต่อไป แต่ในทางหลังฉากก็มีการหารือกันว่า ฉนวนกาซาในอนาคตควรจะเป็นเช่นไร ซึ่งตัวละครที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้นมีทั้ง อิสราเอล สหรัฐฯ และชาติอาหรับ 3 ฝ่ายประกอบด้วย อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการแบ่งเขตบริหารจัดการฉนวนกาซาหลังกลุ่มฮามาสได้ถูกกำจัดไปอย่างราบคาบ ประเทศที่เกี่ยวข้องจะมาร่วมกันเลือก “ผู้นำท้องถิ่น” ขึ้นมาดูแลระบบราชการ รักษาความสงบเรียบร้อย ปฏิรูประบบการศึกษากันเสียใหม่ ซึ่งคนที่ตัดสินใจหลักๆคืออิสราเอลและชาติอาหรับ ขณะที่สหรัฐฯจะทำหน้าที่คล้ายๆที่ปรึกษา ให้ความร่วมมือในเรื่องการประสานงานต่างๆ
จากนั้นอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ทางหนังสือพิมพ์ เดอะ เยรูซาเลม โพสต์ ได้รายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดของแผนการที่เรียกว่า “กาซา 2035” วางทิศทางการบริหารจัดการดินแดนต้องสาป เพื่อสันติภาพที่ยั่งยืน และแปรสภาพฉนวนกาซาให้เป็นขุมกำลังทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค
ในแผนการฉบับนี้ฉนวนกาซาได้ถูกขนานนามว่า เป็นค่ายด่านหน้าของอิหร่าน ที่คอยขัดขวางการเจริญเติบโตของห่วงโซ่อุปทานและความหวังของชาวปาเลสไตน์ ทั้งที่หากดูตามประวัติศาสตร์แล้ว พื้นที่ดังกล่าวถือเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญ “แบกแดด-อียิปต์” และ “เยเมน-ยุโรป” ของภูมิภาคตะวันออก กลางในอดีต

หลังสงครามอิสราเอล-ฉนวนกาซายุติลงในอนาคต แผนการขั้นแรกสำหรับฉนวนกาซาคือ “ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม” ซึ่งจะกินเวลาอย่างน้อย 12 เดือน รัฐบาลอิสราเอลจะดำเนินการสร้าง “โซนปลอดภัย” ในฉนวนกาซา ที่ปราศจากอิทธิพลใดๆของกลุ่มฮามาส เริ่มจากทางภาคเหนือของกาซาและค่อยๆขยายอาณาเขตไปยังพื้นที่ทางภาคใต้
โดยมีเจ้าหน้าที่จากกลุ่มชาติอาหรับ(อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน จอร์แดน และโมร็อกโก) แบ่งพื้นที่กันดูแลการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมภายในโซนปลอดภัย ขณะที่หน่วยงานของชาวปาเลสไตน์ในโซนปลอดภัยของฉนวนกาซา จะอยู่ภายใต้ความดูแลของเจ้าหน้าที่ชาติอาหรับ
สำหรับแผนการขั้นที่สอง จะมีลักษณะคล้ายกับ “มาร์แชลแพลน” ของสหรัฐฯหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของดินแดน และการทำให้ชาวปาเลสไตน์ละทิ้งแนวคิดหัวรุนแรง แผนการขั้นตอนที่สองคาดว่าจะใช้เวลายาวนาน 5-10 ปี ดำเนินการทยอยถอนกำลังรักษาความปลอดภัยของอิสราเอลออกจากฉนวนกาซา ในขณะที่ชาติอาหรับจะรับผิดชอบเรื่องการจัดตั้งองค์การบริหารฉนวนกาซ่าแบบพหุภาคีที่ชื่อว่า “หน่วยงานฟื้นฟูกาซา” (GRA) ขึ้นมาทำหน้าที่ดูแลการเงินของกาซา ฟื้นฟูโครงสร้างขั้นพื้นฐาน พร้อมดูแลความสงบเรียบร้อยภายในโซนปลอดภัย ซึ่งคนที่ทำงานในจีอาร์เอจะเป็นชาวปาเลสไตน์เป็นส่วนใหญ่
หากไม่มีอุปสรรคอันใด กระบวนการฟื้นฟูก็จะเข้าสู่แผนการขั้นที่สาม ภายใต้คอนเซปต์ “การปกครองตนเอง” นานาชาติจะค่อยๆโอนถ่ายอำนาจบริหารให้กับรัฐบาลปาเลสไตน์ท้องถิ่น หรือไม่ก็รัฐบาลเอกภาพปาเลสไตน์ (ฉนวนกาซา-เวสต์แบงก์)
แต่ทั้งนี้การจะเดินหน้าได้หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับว่า นานาชาติทุกฝ่ายที่เข้ามาร่วมจัดการดูแลจะต้องลงมติเห็นชอบกันว่าฉนวนกาซา ได้ปราศจากแนวคิดหัวรุนแรง และปราศจากกำลังทางทหารที่เป็นภัยคุกคามอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งอิสราเอลขอสงวนสิทธิในการดำเนินมาตรการใดๆ ต่อสิ่งที่อิสราเอลมองว่าเป็นภัยคุกคามทางความมั่นคง
เมื่อจบครบกระบวนการทั้งหมดแล้ว จึงเหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายคือ ชาวปาเลสไตน์จะปกครองตกเองอย่างสมบูรณ์ และเข้าร่วมลงนาม “ข้อตกลงอับราฮัม” มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับอิสราเอล
ในเอกสารแผนการกาซา 2035 ยังมองความเป็นไปได้ที่จะแปรสภาพฉนวนกาซาให้เป็นหนึ่งในท่าเรืออุตสาหกรรมที่สำคัญของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไว้สำหรับส่งออกสินค้าท้องถิ่น สินค้าต่างๆของภูมิภาคตะวันออกกลาง และน้ำมันดิบของซาอุดีอาระเบีย มองการจัดตั้งเส้นทางการค้าเสรี เชื่อมต่อระหว่างเมืองซเดรอดของอิสราเอลไปยังฉนวนกาซาและผ่านต่อไปยังเมืองเอล อาริชของอียิปต์ ไปจนถึงโครงการสำรวจบ่อก๊าซธรรมชาติในทะเล ทางตอนเหนือของกาซา โครงการโซลาร์ฟาร์ม และโครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล
กระนั้น เมกะโปรเจกต์ดังกล่าว ยังมีช่องโหว่ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ จะทำเช่นไรให้ซาอุดีอาระเบียยอมมาร่วมวง เพราะจากการเปิดเผยของแหล่งข่าวระบุว่าการเจรจายื่นหมูยื่นแมวในเบื้องต้น ซาอุดีอาระเบียต้องการทำข้อตกลงความมั่นคงส่วนตัวกับสหรัฐฯ ทางสหรัฐฯบอกว่าได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องยอมรับอิสราเอลเป็นประเทศ มีความสัมพันธ์การทูตแบบปกติกับอิสราเอล
และทำให้ซาอุดีอาระเบียตอบกลับว่า ได้เหมือนกัน แต่อิสราเอลจะต้องยอมรับหลักการสร้างสันติภาพ ที่เรียกว่า “แนวทาง 2 รัฐ” อันหมายถึงการยอมรับสถานะความเป็นรัฐเอกราชของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางรัฐบาล อิสราเอลปฏิเสธอย่างหัวเด็ดตีนขาดตลอดมา.
วีรพจน์ อินทรพันธ์