ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : “สงกรานต์”ภูมิวัฒนธรรมร่วมอาเซียน

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง :  “สงกรานต์”ภูมิวัฒนธรรมร่วมอาเซียน

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : “สงกรานต์”ภูมิวัฒนธรรมร่วมอาเซียน

วันอาทิตย์ ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สงกรานต์ มาจากคำภาษาสันสกฤตว่า สํกฺรานฺติ  แปลตรงตัวว่า “การเปลี่ยนผ่านของดวงดาว” หรือ “การเปลี่ยนแปลง” สงกรานต์ตรงกับการเริ่มต้นของราศีเมษ และตรงกับวันปีใหม่พื้นถิ่นในหลายวัฒนธรรมของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วันขึ้นปีใหม่ไทยคือ 1 มกราคม แต่ในอดีต ประเทศสยามใช้วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ทางการจนกระทั่ง พ.ศ. 2431 จึงประกาศให้วันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 เมษายน จากนั้นใน พ.ศ. 2484 จึงเปลี่ยนเป็น 1 มกราคม ในขณะที่วันสงกรานต์เป็นเทศกาลทั่วประเทศ   องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ขึ้นทะเบียนประเพณีวันสงกรานต์ในไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2566  ปัจจุบันปฏิทินไทยกำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13–15 เมษายนของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ การประกาศสงกรานต์เป็นทางการนั้นคำนวณตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งโบราณ กำหนดให้วันแรกเทศกาลเป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า “วันมหาสงกรานต์” วันถัดมาเรียกว่า “วันเนา”และวันสุดท้ายเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า “วันเถลิงศก”กำเนิดวันสงกรานต์ นั้นมาจาก “ตำนานนางสงกรานต์” ตามจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ  

สงกรานต์ในอดีต

สงการต์แบบไทย

ประกาศสงกรานต์

ก่อพระทราย

นางสงกรานตทั้ง๗

ตำนานเล่าว่า มีเศรษฐีฐานะร่ำรวยคนหนึ่ง ไม่มีบุตร จึงไปบวงสรวงขอบุตรกับพระอาทิตย์ และพระจันทร์ แต่รอหลายปีก็ไม่มีบุตรสักที จนกระทั่งถึงฤดูร้อนปีหนึ่ง เศรษฐีได้นำข้าวสารซาวน้ำ 7 สี หุงบูชารุกขพระไทร พร้อมเครื่องถวาย และการประโคมดนตรี โดยได้ตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร พระไทรได้ฟังก็เห็นใจ จึงไปขอบุตรกับพระอินทร์ให้เศรษฐี ต่อมาเศรษฐีได้บุตรชาย และตั้งชื่อว่า “ธรรมบาลกุมาร” ธรรมบาลกุมารเป็นคนฉลาดหลักแหลม จนมีชื่อเสียงร่ำลือไปไกล ทำให้ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาท้าทายปัญญา โดยได้ถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร ให้เวลา 7 วัน หากฝ่ายใดแพ้จะต้องตัดศีรษะบูชา ท้ายที่สุดธรรมบาลกุมารสามารถตอบปัญหาได้ ท้าวกบิลพรหมจึงต้องเป็นฝ่ายตัดศีรษะ แต่หากศีรษะนี้ตกลงพื้นโลก จะเกิดเพลิงไหม้โลก  ท้าวกบิลพรหมจึงสั่งให้บาทบาจาริกาของพระอินทร์ทั้ง 7 นาง สลับหน้าที่หมุนเวียนเชิญพระเศียร หรือศีรษะของตนแห่รอบเขาพระสุเมรุ ปีละ 1 ครั้ง ในช่วงมหาสงกรานต์ โดยนางสงกรานต์ทั้ง 7 มีชื่อ ดังนี้ 1.นางทุงษะเทวี 2.นางรากษเทวี 3.นางโคราคเทวี 4.นางกิริณีเทวี 5.นางมณฑาเทวี 6.นางกิมิทาเทวี 7.นางมโหธรเทวี 

ประเพณีสงกรานต์เมียนมา

สกรานต์เมียนมา

สงกรานต์ผู้ไท

สงกรานต์ล้านนา

พัวสุ่ยเจี๋ย สงกรานต์สิบสองปันนา

สงกรานต์แม่น้ำโขง

คติความเชื่อ วันสงกรานต์ จึงเชื่อมโยงกับโหราศาสตร์การเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษในช่วงวันมหาสงกรานต์ โดยในแต่ละปีก็จะมีชื่อนางสงกรานต์ทั้ง 7 สลับหมุนเวียนกัน สันนิษฐานว่า “สงกรานต์นั้นเป็นพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในอินเดีย เกี่ยวกับขึ้นศักราชใหม่ ไม่ใช่ปีนักษัตร เมื่อดวงอาทิตย์โคจรจากราศีมีนย้ายเข้าราศีเมษ เรียก มหาสงกรานต์ ในเดือนเมษายน (สุริยคติ)” พระยาอนุมานราชธนว่าสงกรานต์ น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียตอนเหนือที่มีช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูฝน สิ้นฤดูหนาวที่ยาวนานและแห้งแล้ง ภูมิประเทศและอากาศสดชื่น เป็นฤดูแห่งความยินดีจึงมีนักขัตฤกษ์สงกรานต์ แม้ไทยจะไม่มีฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็อยู่ในช่วงว่างจากงานในนาในไร่ จึงถือเอาวันสงกรานต์เป็นการทำบุญใหญ่  แต่กฎมณเฑียรบาลเมื่อจุลศักราช 720 (พ.ศ. 1901) ไม่ได้กําหนดเดือนอ้ายเป็นเดือนขึ้นปีใหม่แล้ว กําหนดว่า เดือน 4 คือพิธีสิ้นปี หมายถึงตรุษ และเดือน 5 การพระราชพิธีเผด็จศกลดแจตร ออกสนาม ซึ่งหมายถึงขึ้นปีใหม่  พระราชพงศาวดารว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเคยตรัสเมื่อได้ทราบข่าวพระเจ้าแปรยกทัพมาประชิดชายแดนไทยว่า “จะไปเล่นตรุษเมืองละแวก สิสงกรานต์ชิงมาก่อนเล่า จําจะยกออกไปเล่นสงกรานต์กับมอญให้สนุกก่อน “พระราชพิธีสงกรานต์” ในพระราชพิธีสิบสองว่า มีการพระราชกุศลตั้งสวดพระปริตรทั้งสามวัน ฉลองพระเจดีย์ทรายทั้งของหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี พระเจ้าแผ่นดินสรงมุรธาภิเษก สรงน้ำพระพุทธรูป สดับปกรณ์พระอัฐิเจ้านาย มีการเวียนเทียนทั้งสามวัน และจุดดอกไม้เพลิงเนื่องจากเป็นงานนักขัตฤกษ์

สงกรานต์ปากลัด

Leave a comment