
อดีตผู้พิพากษา วิเคราะห์เหตุผลยุบสภา ความจำเป็นตาม รธน. หรือ หมากชิงความได้เปรียบทางการเมือง?
วันเสาร์ ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.27 น.
วันที่ 13 ธันวาคม 2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า วิเคราะห์เหตุผลยุบสภาเมื่อ 12 ธ.ค. 68: ความจำเป็นตามรัฐธรรมนูญ หรือ หมากชิงความได้เปรียบทางการเมือง?
การประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรของรัฐบาลนายกฯ อนุทิน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 กลายเป็นประเด็นที่นักวิเคราะห์การเมืองต้องหันมามองอย่างละเอียด เนื่องจากเหตุผลที่ระบุในพระราชกฤษฎีกานั้น มีหลายจุดที่ดูจะ “สวนทาง” กับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ และนำมาซึ่งคำถามสำคัญว่า… เรากำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเพื่อประชาชน หรือเพื่อแก้โจทย์คณิตศาสตร์ทางการเมืองของ
ใครบางคน?
ในฐานะผู้ติดตามการเมือง มี 4 ประเด็นสำคัญที่น่าพิจารณา ดังนี้ครับ:
1.ข้ออ้างเรื่อง “ความไม่สงบชายแดน” ที่ขาดน้ำหนัก
ในประกาศระบุถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเหตุผลลำดับต้นๆ แต่หากพิจารณาตามความเป็นจริง สถานการณ์ในพื้นที่ยังคงอยู่ในระดับที่กลไกปกติของกระทรวงต่างประเทศและกองทัพสามารถรับมือได้ การนำประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศมาเป็น “เหตุผลหลัก” ในการยุบสภา จึงถูกมองว่าเป็นเพียงการใช้ “วาทกรรมทางกฎหมาย” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ดูเป็นเรื่องเร่งด่วน มากกว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
2. อายุรัฐบาล 2 เดือนเศษ กับเสถียรภาพรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่คาดการณ์ได้อยู่ก่อนแล้ว
รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยตาม MoA ที่ทำกับพรรคประชาชนเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 และแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 – 30 กันยายน 2568 จึงทำงานมาได้เพียง 2 เดือนเศษ การอ้างว่า “บริหารไม่ได้เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย” จึงเป็นเหตุผลที่ย้อนแย้งในตัวเอง เพราะจำนวนตัวเลข สส. ในสภาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากวันแรกที่รับตำแหน่ง หากมองในเชิงวิชาการ การยุบสภาหลังทำงานไม่ถึง 4 เดือนตาม MoA โดยที่ไม่มีกฎหมายสำคัญถูกตีตกในสภา ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ “ผิดปกติ” อย่างมากในระบบรัฐสภา
3. หรือจะเป็นการ “ชิงยุบสภา” เพื่อหนีการตรวจสอบ?
ประเด็นที่สังคมตั้งข้อสังเกตมากที่สุด คือจังหวะเวลาที่ประจวบเหมาะกับข่าวการเตรียมยื่น “ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ของพรรคฝ่ายค้าน (พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย) ที่ไม่ไว้ใจพรรคภูมิใจไทยในการบริหารราชการแผ้นดินในช่วงเปลี่ยนผ่าน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้
ตามหลักรัฐศาสตร์ การยุบสภาผู้แทนราษฎรก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือการตัดวงจรการตรวจสอบของรัฐสภา
ผลทางกฎหมายคือ นายกรัฐมนตรี (และรัฐมนตรี) จะยังมีสถานะ “รักษาการ” และสามารถจัดสรรทรัพยากรในช่วงก่อนเลือกตั้งได้ โดยไม่ต้องเผชิญกับการถูกลากไส้กลางสภาที่อาจส่งผลต่อคะแนนนิยม
และที่สำคัญที่สุดคือ
หากถูกลงมติ “ไม่ไว้วางใจ” นายกรัฐมนตรี(และรัฐมนตรี) ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที และ ไม่สามารถรักษาการในระหว่างการเลือกตั้งได้
4. ผลกระทบที่มองข้าม: งบประมาณและโครงการของรัฐ
การยุบสภาในขณะที่รัฐบาลเพิ่งเริ่มขับเคลื่อนนโยบายได้ไม่ถึง 4 เดือนตามพันธสัญญา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ความต่อเนื่องของงบประมาณ” และโครงการเศรษฐกิจที่อ้างในเหตุผลการยุบสภาเสียเอง เมื่อสภาหยุดทำงานกะทันหันก่อนกำหนด การอนุมัติงบประมาณหรือโครงการเยียวยาต่างๆ ที่รออยู่แล้ว จะเข้าสู่สภาวะ “ชะงักงัน” ซึ่งย้อนแย้งกับเหตุผลที่ว่าต้องการยุบสภาเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ
บทสรุป
การคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นเรื่องดีงามตามระบอบประชาธิปไตย แต่หากเหตุผลในการคืนอำนาจนั้นดู “คลุมเครือ” และ “มุ่งเน้นผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัว” มากกว่าวิกฤตของชาติจริง สังคมย่อมมีสิทธิตั้งคำถามถึงความจริงใจของรัฐบาล
ประชาชนคงต้องใช้วิจารณญาณในคูหาเลือกตั้งว่า… เหตุผลในการยุบสภาตามที่กล่าวอ้างมานั้น ฟังขึ้นหรือไม่?
วัส ติงสมิตร
นักวิชาการอิสระ
13/12/68