จุดแข็ง’อนุทิน’ ตอบโจทย์การเมือง ในสถานการณ์สู้ศึกกัมพูชา

จุดแข็ง'อนุทิน' ตอบโจทย์การเมือง ในสถานการณ์สู้ศึกกัมพูชา

จุดแข็ง’อนุทิน’ ตอบโจทย์การเมือง ในสถานการณ์สู้ศึกกัมพูชา

วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 13.26 น.

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในรอบนี้ เป็นการสู้รบจริง มีการปะทะ มีการยิง มีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิต พร้อมแรงกดดันจากต่างประเทศที่เข้ามาพร้อมกัน

15 ธันวาคม 2568 ในสถานการณ์แบบนี้ ประเทศต้องการความชัด ต้องการการตัดสินใจ และต้องการผู้นำที่รับผิดชอบกับคำสั่งของตัวเอง

จุดแข็งของ อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรี อยู่ตรงการยืนอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่เปลี่ยนท่าทีตามแรงกดดัน
และไม่ปล่อยให้ใครพูดแทนประเทศไทย

ตั้งแต่สถานการณ์เริ่มตึง อนุทินสื่อสารตรง ไม่อ้อม ไม่ใช้คำคลุมเครือ และไม่ปล่อยให้ต่างชาติอธิบายสถานการณ์ของไทยฝ่ายเดียว
ภาพใหญ่ของเรื่องนี้ คือการสู้รบตามแนวชายแดน การเผชิญหน้าทางทหารและความพยายามจากหลายฝ่ายให้สถานการณ์หยุดลง

ในช่วงนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีอนุทิน และผู้นำกัมพูชา

หลังการพูดคุย ทรัมป์โพสต์ผ่านช่องทางการสื่อสารของตนเอง กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์ เรียกร้องให้ ทั้งสองฝ่าย หยุดยิง และลดความตึงเครียดฃ

ในโพสต์เดียวกันนั้น ทรัมป์กล่าวถึงกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิด โดยอธิบายว่าเป็นอุบัติเหตุ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ

ตรงจุดนี้จุดแข็งของ “อนุทิน” ปรากฏชัด

อนุทินออกมาตอบโต้ทันที ยืนยันว่าเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิด ไม่ใช่อุบัติเหตุไม่ใช่การโต้เถียง แต่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง และยืนยันจุดยืนของรัฐไทยต่อสายตานานาชาติ

พร้อมกันนั้น อนุทินย้ำชัดว่า ประเทศไทยจะยัง ปฏิบัติการทางทหารต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าไม่เหลือภัยคุกคามต่อประเทศและประชาชน

นี่คือจุดแข็งสำคัญ ไม่ปล่อยให้คำอธิบายจากภายนอก มากำหนดกรอบความจริงของประเทศไทย และไม่ยอมให้เรื่องความมั่นคง ถูกทำให้เบาลงด้วยถ้อยคำที่คลุมเครือ

แรงกดดันจากภายนอก ไม่ได้มีแค่สหรัฐฯอีกบทบาทที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง คือ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งกำลังจะหมดวาระในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจังหวะเวลานี้ ทำให้บทบาทของอันวาร์ ถูกจับตามองเป็นพิเศษ

อันวาร์แสดงท่าทีต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยสื่อสารว่าเป็นการขอให้ ทั้งสองประเทศ ลดความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงการยั่วยุแต่ในทางปฏิบัติ ท่วงทำนองของการสื่อสาร กลับดูเหมือนว่าแรงกดดันจำนวนมากพุ่งมาที่ฝั่งไทย

คำถามจึงเกิดขึ้นว่า บทบาทของประธานอาเซียนในช่วงใกล้หมดวาระ กำลังทำหน้าที่ตามกรอบอาเซียน หรือมีบริบทอื่นพัวพันอยู่ด้วย
โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่ผลประโยชน์ในภูมิภาค ทั้งเศรษฐกิจชายแดน และธุรกิจบ่อนคาสิโนในกัมพูชาที่หลายประเทศในอาเซียนมีส่วนเกี่ยวข้อง

แม้คำถามเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบแต่สิ่งที่ชัดคือ อนุทินไม่เอนตามแรงกดดันที่ไม่ชัดเจน และไม่ผูกมัดประเทศไทย กับคำขอที่ตีความได้หลายทาง

อนุทินออกมาพูดตรง ว่าไม่มีข้อความใดที่ระบุให้ไทยหยุดยิงและประเทศไทย ไม่ได้รับข้อเสนอหยุดยิงอย่างเป็นทางการจากฝ่ายใด

ท่าทีแบบนี้ ทำให้จุดยืนของไทยชัดไม่สับสน และไม่เปิดช่องให้ใครพูดแทนรัฐไทย

เมื่อหันกลับไปมองการเมืองไทย ความแตกต่างยิ่งเห็นชัด

รัฐบาลแพทองธาร คือรัฐบาลที่ถูกตั้งคำถามตั้งแต่ต้น ว่าใครเป็นคนตัดสินใจจริง และใครเป็นคนกำหนดทิศทางอยู่เบื้องหลัง
การมีทักษิณเป็นเงา ประกอบกับความสัมพันธ์กับผู้นำกัมพูชา และคลิปเสียงสนทนาที่เคยหลุดออกมา ทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ถูกตั้งคำถามตรง ๆ ในเรื่องท่าทีต่ออธิปไตยของประเทศ
 ในสถานการณ์ความมั่นคง รัฐบาลที่ไม่ชัดว่าใครเป็นคนตัดสินใจ และใครเป็นคนกำหนดทิศทางจริง คือความเสี่ยงทันที

ขณะเดียวกัน แนวคิดของกลุ่มการเมืองอย่าง ธนาธร-พิธา ที่ยืนอยู่บนอุดมคติทางการเมือง และมีท่าทีตรงข้ามกองทัพมาโดยตลอด ยิ่งสะท้อนความไม่พร้อมต่อสถานการณ์จริง

การตั้งคำถามกับบทบาททหาร การพูลดความจำเป็นของกองทัพ อาจใช้ได้ในเวทีการเมืองแต่เมื่อชายแดนมีการยิงจริง มีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตจริง แนวคิดแบบนี้ไม่ตอบโจทย์รัฐ

ปัญหาชายแดน ไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์แต่เป็นเรื่องการตัดสินใจทันที และต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ทันที

ทั้งหมดนี้ ทำให้ภาพของ อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรี ชัดขึ้นในช่วงเวลานี้ไม่ใช่จากคำพูด แต่จากการตัดสินใจในวันที่ประเทศถูกกดดัน และต้องยืนอยู่กับอธิปไตยของตัวเอง.

ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์

Leave a comment