จากพลังแห่งการ ‘ให้’ ผ่านมูลนิธิรามาธิบดีฯ สู่ศูนย์อุบัติเหตุและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ด่านหน้าพร้อมดูแลคนไทยตลอด 24 ชั่วโมง ‘ทุกวินาทีคือ โอกาสในการช่วยชีวิต’

จากพลังแห่งการ ‘ให้’ ผ่านมูลนิธิรามาธิบดีฯ สู่ศูนย์อุบัติเหตุและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ด่านหน้าพร้อมดูแลคนไทยตลอด 24 ชั่วโมง ‘ทุกวินาทีคือ โอกาสในการช่วยชีวิต’

จากพลังแห่งการ ‘ให้’ ผ่านมูลนิธิรามาธิบดีฯ สู่ศูนย์อุบัติเหตุและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ด่านหน้าพร้อมดูแลคนไทยตลอด 24 ชั่วโมง ‘ทุกวินาทีคือ โอกาสในการช่วยชีวิต’

วันศุกร์ ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ความไม่แน่นอนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวินาที แม้ในช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขก็ตาม เหตุฉุกเฉินอาจเปลี่ยนชีวิตได้ในชั่วพริบตา อ้างอิงข้อมูลจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ระบุว่าในปีล่าสุดมี ผู้ป่วยฉุกเฉินมากกว่า 1.7 ล้านรายทั่วประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายของระบบสาธารณสุขไทย และย้ำให้เห็นว่า ทุกวินาทีคือ โอกาสในการช่วยชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลที่ปริมาณผู้ป่วยฉุกเฉินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่บทบาทของศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินระดับตติยภูมิ มีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคย

รศ. ดร. นพ.ไชยพร ยุกเซ็น หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งศูนย์อุบัติเหตุและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลรามาธิบดี เกิดจากความจำเป็นในการเติมเต็มช่องว่างของระบบสาธารณสุขไทย ซึ่งในอดีตยังขาดศูนย์ฉุกเฉินระดับสูงที่มีศักยภาพเพียงพอรองรับผู้ป่วยอุบัติเหตุและภาวะวิกฤตที่ต้องการการดูแลเร่งด่วน ศูนย์ฯ จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการช่วยชีวิตผู้ป่วยในช่วงนาทีทอง ด้วยความพร้อมของบุคลากรเฉพาะทาง เทคโนโลยีช่วยชีวิต และระบบการทำงานที่ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ภารกิจหลักคือการทำให้ทุกวินาทีในชั่วโมงวิกฤตเป็นโอกาสสูงสุดในการรักษา ตั้งแต่การรับแจ้งเหตุ การดูแลก่อนถึงโรงพยาบาล การคัดแยกอาการ ไปจนถึงการรักษาและการส่งต่ออย่างแม่นยำ เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลที่รวดเร็ว ปลอดภัย และได้มาตรฐานสูงที่สุด”

นวัตกรรมการรักษาที่พร้อมดูแลตั้งแต่วินาทีแรกที่พบผู้ป่วย ไปจนถึงขั้นตอนการรักษา

ด้วยปริมาณผู้ป่วยฉุกเฉินเฉลี่ยกว่า 150 รายต่อวัน โดย 30% เป็นผู้ป่วยอาการรุนแรง ศูนย์อุบัติเหตุและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลรามาธิบดีจึงต้องทำงานด้วยความแม่นยำและรวดเร็วในทุกนาที ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยต้องอยู่ในห้องฉุกเฉินยาวนาน 24–48 ชั่วโมง จากข้อจำกัดด้านเตียงวิกฤต ขณะที่ข้อมูลในปีที่ผ่านมาพบว่า กว่า 80% เป็นผู้ป่วยอายุรกรรมฉุกเฉิน เช่น ภาวะหัวใจหยุดเต้น โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ระบบไหลเวียนล้มเหลว และภาวะติดเชื้อรุนแรง ส่วนผู้ป่วยอุบัติเหตุและบาดเจ็บคิดเป็นประมาณ 20% ซึ่งต้องการการประเมินและตัดสินใจที่แม่นยำในเสี้ยววินาที สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนบทบาทสำคัญของศูนย์ฯ ที่ต้องพร้อมรับมือเหตุวิกฤตทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง

เพราะทุกวินาทีมีความหมายต่อชีวิต ศูนย์ฯ จึงออกแบบระบบการดูแลให้เริ่มตั้งแต่จุดเกิดเหตุ ผ่านเทคโนโลยีสำคัญอย่างกล้องติดตัว Portable X-ray และอัลตราซาวนด์แบบพกพา ที่เชื่อมข้อมูลสู่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแบบเรียลไทม์ผ่าน Telemedicine ทำให้การวินิจฉัยและการรักษาเริ่มได้ทันทีแม้อยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เมื่อถึงโรงพยาบาล ระบบ Fast Track จะเข้ารับช่วงต่อทันที ตั้งแต่การทำ CT Scan การตรวจ EKG การให้ยาละลายลิ่มเลือด ไปจนถึงการนำผู้ป่วยเข้าสู่ Cath Lab เพื่อรักษาโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันอย่างทันท่วงที

ศูนย์ฯ ยังทำหน้าที่เป็นจุดรับส่งต่อหลักของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ผ่านระบบส่งต่อดิจิทัลที่ประเมินผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ พร้อมพัฒนาเครือข่าย Tele consult และระบบ AI เพื่อช่วยประเมินความรุนแรงและเลือกโรงพยาบาลปลายทางที่เหมาะสมที่สุด ยกระดับการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินให้รวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังเป็นหน่วยงานสำคัญด้านการจัดการอุบัติภัยหมู่และสาธารณภัย โดยมีระบบบัญชาการเหตุการณ์ที่ผ่านการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง สามารถรองรับสถานการณ์ที่มีผู้ป่วยจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทีมแพทย์ฉุกเฉินกับภารกิจการดูแลประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

ด้วยความมุ่งมั่นในการยืดหยัดเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับแพทยสภา และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สนับสนุนทีมแพทย์ทางอากาศและเทคโนโลยีการรักษาเพื่อช่วยบรรเทาวิกฤตมหาอุทกภัย ณ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา

โดยทีมแพทย์ทางอากาศ หรือ Sky Doctor มีภารกิจสำคัญในการวินิจฉัย และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตผ่านทางอากาศด้วยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลปลายทางได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางอุปสรรคในการคมนาคม พร้อมทั้งมีการสนับสนุนทีมแพทย์ เพื่อให้บริการตรวจประเมินสุขภาพเบื้องต้น และให้คำแนะนำในการรักษาดูแลสุขภาพ รวมถึงแจกจ่ายยาป้องกันโรคฉี่หนู (Leptospirosis) เพื่อป้องกันการระบาดและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อที่อาจมาพร้อมกับสภาวะน้ำท่วมขัง

“หัวใจของงานเวชศาสตร์ฉุกเฉินคือ ‘ทุกวินาทีคือชีวิต’ ในฐานะศูนย์ตติยภูมิ ที่เพรียบพร้อมทั้งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นวัตกรรมแพทย์ และการส่งต่อผู้ป่วย ศูนย์อุบัติเหตุและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดเคียงข้างคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ประชาชนต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด โดยวิสัยทัศน์ของศูนย์ฯ ไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงการรักษา แต่ต้องการเป็นศูนย์กลางการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ผ่านการจัดการเรียนการสอนและหลักสูตรอบรมเฉพาะทาง การเสริมสร้างทักษะผ่านสถานการณ์จำลอง รวมถึงความร่วมมือกับ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนและพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) ของประเทศ พร้อมยกระดับขีดความสามารถในการดูแลและรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทุกรูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในวันนี้และในวันหน้า” รศ. ดร. นพ.ไชยพร กล่าวเสริม

ศูนย์อุบัติเหตุและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลรามาธิบดี พร้อมยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในทุกช่วงเวลา ทั้งยามวิกฤตที่ต้องการการช่วยเหลือเร่งด่วน หรือช่วงเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี ทีมแพทย์ฉุกเฉินและผู้เชี่ยวชาญยังคงปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูแลความปลอดภัยและความสุขของคนไทยอย่างไม่หยุดยั้ง ศักยภาพทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากพลังแห่งการให้ของผู้ใจบุญทุกท่านผ่านมูลนิธิรามาธิบดีฯ ที่สนับสนุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงรถพยาบาลฉุกเฉินขั้นสูง ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ อาคารฉุกเฉินและอุบัติเหตุ การพัฒนาหลักสูตร และการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์รามาธิบดีที่มีคุณภาพ ส่งกลับมาเป็นระบบการดูแลที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างทั่วถึง สะท้อนคุณค่าของ “คำว่าให้…ไม่สิ้นสุด” ที่ส่งต่อจากผู้ให้…กลับไปสู่ชีวิตของคนไทยทุกคน

ติดตามความเคบื่อนไหวของมูลนิธิรามาธิบดีฯ ได้ที่ : FB มูลนิธิรามาธิบดีฯ   LINE @RamaFoundation   IG @RamaFoundation   www.ramafoundation.or.th

Leave a comment