ทร.เร่งพิสูจน์’เขื่อนกันคลื่นกัมพูชา’ หากล้ำอธิปไตยไทย’ต้องทำลาย’

ทร.เร่งพิสูจน์'เขื่อนกันคลื่นกัมพูชา' หากล้ำอธิปไตยไทย'ต้องทำลาย'

ทร.เร่งพิสูจน์’เขื่อนกันคลื่นกัมพูชา’ หากล้ำอธิปไตยไทย’ต้องทำลาย’

วันอาทิตย์ ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.50 น.

ทร.เร่งพิสูจน์เขื่อนกันคลื่นกัมพูชา หากล้ำอธิปไตยไทย”ต้องทำลาย” ชี้ส่งผลการแบ่งทะเลอาณาเขต หรือไหล่ทวีปในอนาคต เผยเปิดช่องระบายน้ำ รอดูลดการกัดกร่อนฝั่งไทยหรือไม่

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2568 ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วม สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก พล.ร.ต.กรจักร์ ยศธสาร ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองโฆษกกองทัพเรือ กล่าวชี้แจงว่า กองทัพเรือ ไม่ได้ยื่นข้อเสนอหรือข่มขู่ให้กัมพูชารื้อถอนเขื่อนกันคลื่นที่หลักเขต 73 ซึ่งกองทัพเรือจะติดตามอย่างใกล้ชิดหากผลการปฏิบัติไม่เป็นไปตามความต้องการจะดําเนินการในขั้นต่อไป

สำหรับเขื่อนกันคลื่น ตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องปัจจุบันที่เราใช้อ้างอิงในเรื่องของการแบ่งเขตแดนทางทะเล เราใช้อนุสัญญาเจนีวา กฎหมายทะเลปี ค.ศ.1982 ในมาตรา 11 ระบุไว้ว่าสิ่งปลูกสร้างถาวรที่อยู่ด้านนอกสุดเชื่อมต่อและแยกไม่ได้ไปจากระบบท่าเรือ ให้ถือได้ว่า เป็นชายฝั่งทะเลได้ และสามารถใช้เป็นจุดอ้างอิงใช้แบ่งทะเลอาณาเขตทางทะเล คือเขตอธิปไตยทางทะเลของรัฐชายฝั่ง

ทั้งนี้ กัมพูชาสร้างเขื่อนกันคลื่นปี 2540 เมื่อเริ่มสร้าง เราก็เข้าใจว่าเป็นเขื่อนกันคลื่น และเมื่อสร้าง และมีโครงสร้างบางส่วนเป็นท่าเรือ กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด (กปจ.ชต.) จึงมีการทักท้วงไปยังผู้สร้างซึ่งเป็นเอกชน และมีรีสอร์ทอยู่ด้วย และสร้างเสร็จเมื่อ มิ.ย.41 เราขอให้ยุติการสร้าง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นท่าเรือ ซึ่งทางกัมพูชาโดยเอกชนก็ยุติ แต่ยังดําเนินการในส่วนที่เป็นเขื่อนกันคลื่น

โดยสถานะของเขื่อนกันคลื่น ไม่สามารถเรียกได้ว่าเขตของฝั่งทะเลที่จะนํามาใช้อ้างอิง ในการแบ่งทะเลอาณาเขตระหว่างประเทศได้

นอกจากขอให้ยุติการสร้างส่วนที่เป็นท่าเรือแล้ว ในปีเดียวกัน ได้แจ้งให้กับกระทรวงการต่างประเทศทําหนังสือทักท้วงไปยังกัมพูชา และกัมพูชา มีหนังสือตอบโต้กลับมาว่า การสร้างเขื่อนกันน้ำ ไม่ได้ล้ำเขตไทย และไม่มีส่วนใด จะแบ่งทะเลอาณาเขต หรือไหล่ทวีป หรือเขตเศรษฐกิจจําเพาะได้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศก็ทําหนังสือประท้วงอีกรอบปี 2541

จากนั้น ปี 2564 ก็ทําหนังสือทักท้วงไปอีกครั้ง การที่เราดําเนินการเช่นนี้ ป้องกันถ้ากัมพูชานำเรื่องขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เราถือว่าได้คัดค้าน โต้แย้งในสิ่งที่กัมพูชาดําเนินการเป็นหลักฐานสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย

พล.ร.ต.กรจักร์ กล่าวต่อว่า แม้ว่าปัจจุบันสถานะเขื่อนกันคลื่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชายฝั่งที่ใช้ในการแบ่งเขตทะเลอาณาเขตได้ แต่ผลกระทบที่ปรากฏในปัจจุบันทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนแปลง และเป็นไปได้ว่าทับถมตะกอนฝ่ายกัมพูชา กัดเซาะชายฝั่ง เกิดความเปลี่ยนแปลงบ้านหาดเล็ก จ.ตราด เรื่องนี้เราแจ้งข้อห่วงใยมาโดยตลอด แต่สถานะปัจจุบันยังไม่ได้มีผลกระทบโดยตรง ความมั่นคงทางทหาร เราจะใช้กำลังทหารเข้าไป ดําเนินการในเรื่องนี้โดยตรง ยังไม่เหมาะสม จึงใช้กระบวนการการประท้วงมาโดยตลอด

เพราะฉะนั้นหากเรามองในฐานะปัจจุบัน การที่กัมพูชาเปิดช่องบริเวณนั้น ต้องไปตรวจสอบอีกครั้งว่า ในเชิงของอุทกศาสตร์ จะทําให้กระบวนการกระแสน้ํา การทับถมตะกอน การกัดเซาะชายฝั่ง ลดลงไปหรือไม่ เราควรจะดําเนินการอย่างใดต่อไป เพราะปัจจุบันเขามีฝ่ายเริ่มกระทําก่อนหากตรวจสอบว่ายังไม่พอเพียงและไม่สอดคล้อง เราก็จะดําเนินการต่อไปตามกระบวนการที่เหมาะสม ซึ่งต้องดําเนินการจากเบาไปหาหนัก

ในปัจจุบันแม้จะเป็นเขื่อนกันคลื่นก็จริง ในสถานะไม่กระทบโดยตรงการแบ่งทะเลอาณาเขตหรือไหล่ทวีป เขตเศรษฐกิจจําเพาะในอนาคตต่อไป ส่วนจะมีผลกระทบทางยุทธศาสตร์อย่างใดนั้น น่าจะเป็นเรื่องของการแบ่งเขตทะเลอาณาเขต หรือไหล่ทวีปในอนาคต ต้องไปตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้งว่า เขื่อนกันคลื่น ไม่ได้ล้ําเข้ามาในเขตอธิปไตยไทย หากล้ําก็ต้องให้กัมพูชาทําลายส่วนที่ล้ำให้หมดไป จากเขตอธิปไตยของไทย

– 006

Leave a comment