
ปลุกรณรงค์‘หักหลัง คนซื้อเสียง’ สกัด‘มันนี่โพลิติกส์’ทุนสามานย์ครอบงำการเมืองไทย
วันอาทิตย์ ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 09.07 น.
ปลุกรณรงค์‘หักหลัง คนซื้อเสียง’ สกัด‘มันนี่โพลิติกส์’ทุนสามานย์ครอบงำการเมืองไทย
21 ธันวาคม 2568 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ระบุว่า…
รณรงค์ หักหลังคนซื้อเสียง
ถ้าพูดถึงพัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย เริ่มต้นจากนักการเมืองอาชีพ มาสู่นักการเมืองที่มีนักธุรกิจนายทุนอยู่เบื้องหลัง จนมาถึงกลุ่มทุนนักธุรกิจมาเล่นการเมืองเอง พัฒนามาเป็นกลุ่มนักธุรกิจผู้รับเหมา ทำธุรกิจได้เงินจากโครงการต่างๆในการรับเหมาก่อสร้างและฮั้วประมูล จนเป็นนักการเมืองทุจริตคอรัปชั่นโครงการต่างๆ
เอาเงินทอนมาทำการเมือง พัฒนามาเป็นกลุ่มทุนสามานย์ มีผลประโยชน์ทับซ้อน และทุจริตเชิงนโยบาย จนมาถึงยุคปัจจุบัน ธุรกิจสีเทา ใช้เงินบาป จากแก๊งสแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ เข้ามาเป็นกลุ่มทุนสนับสนุนพรรคการเมือง จึงมีการซื้อเสียงแบบเปิดเผยกันอย่างมโหฬาร
พรรคการเมืองต้องระดมทุนมาใช้ในการหาเสียง และพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเข้าเป็นรัฐบาลให้ได้ โดยไม่คำนึงถึงจุดยืน อุดมการณ์ หรือศักดิ์ศรีทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น จึงเห็นนักการเมือง พยายามรวมตัวกัน สร้างมุ้งไปสังกัดในพรรคการเมืองใหญ่ หวังจะเป็นฝ่ายรัฐบาลอย่างเดียว พรรคการเมืองบางพรรคทำทุกวิถีทาง ทั้งดูดบ้านเล็ก บ้านใหญ่ ควบรวมพรรค หวังจะมีจำนวนสส.เป็นที่1 ต้องการมีจำนวนสส.มากที่สุด เพื่อลบข้อครหาเรื่องการปล้นอำนาจ ชิงจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงมารยาททางการเมือง
จึงทำให้เห็นสภาพของพรรคการเมืองที่มีพรรคใหญ่อยู่เพียง 5 พรรค และพรรคเก่าแก่ที่มีประวัติทางการเมืองอย่างยาวนานอย่าง พรรคชาติไทยพัฒนา และชาติพัฒนา ต้องเว้นเว้นวรรค ไม่ส่งผู้สมัครสส.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อให้อดีตส.ส.ของพรรคเข้าสังกัดพรรคการเมืองใหญ่
นอกจากนั้นคงเหลือพรรคการเมืองขนาดเล็ก ที่มีจำนวนสส.ประมาณ 10 คน ± และพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ที่เป็นพรรคเล็ก รอเป็นอะไหล่ทางการเมือง เพื่อให้ขั้วการเมืองที่ชิงกันจัดตั้งรัฐบาลซื้อตัว หรือแจกกล้วยกับส.ส.กลุ่มนี้ หวังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในโอกาสต่อไป
การเมืองไทยจึงพัฒนาถอยหลัง จากการเมืองเพียวๆ มาสู่การเมืองทุนสามานย์ มาสู่การเมืองทุนสีเทา แก๊งสแกมเมอร์ หรือที่เรียกกันว่า มันนี่โพลิติก การเมืองใช้เงินเป็นปัจจัยชี้ขาด จะนำมาซึ่งวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทยอย่างไม่จบสิ้น
ผมจะเคลื่อนไหวเพื่อรณรงค์ต่อต้านการซื้อเสียง โดยใช้ข้อความว่า “รอบนี้ หักหลัง คนซื้อเสียง” ซึ่งไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะคนซื้อเสียงได้หรือไม่ แต่จะต่อต้านต่อไป จนกว่าจะเกิดการเมืองสุจริตจริงๆ
