
พีระพันธุ์ ลั่น รทสช. ไม่ได้วัดที่จำนวน สส. แต่วัดด้วยความมุ่งมั่น ไม่แข่งกับพรรคอื่น
วันจันทร์ ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.59 น.
“พีระพันธุ์” ลั่น “รทสช.”ไม่ได้วัดที่จำนวน สส. แต่วัดด้วยความมุ่งมั่น ไม่แข่งกับพรรคอื่น เพราะคู่แข่งคือวิกฤตของชาติ ไม่ปิดทางจับมือ “ภูมิใจไทย”
วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เวลา14.15 น. ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ การเป็นพรรคเล็กจะต่อสู้กับพรรคใหญ่ได้อย่างไรว่า ตนไม่ได้วัดที่ขนาด สส. หรือสมาชิกพรรค หรือขนาดเงินทุน แต่วัดด้วยพลังใจ พลังมุ่งมั่น และความตั้งใจ ถ้าวัดตรงนี้ถือว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตนและสมาชิกในพรรค ไม่มีใครคิดว่า คู่แข่งของเราคือพรรคการเมือง ที่ทำนโยบายต่างๆ ออกมา ไม่ใช่เพื่อแข่งกับพรรคการเมืองไหน แต่คู่แข่งของเราคือวิกฤติของชาติ และปัญหาของประชาชน ที่เราต้องเอาชนะ
เมื่อถามถึงการตั้งเป้าจำนวน สส.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า หากถามตนเอง ทุกพรรคเหมือนกันหมด เราคาดหวังทุกที่ ทุกเขตอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า จะส่งผู้สมัครทั่วประเทศเลยหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า จะส่งทุกจังหวัด ทุกภาค ส่งครบทุกภาค และในกรุงเทพมหานครครบทั้ง 33 เขต ยังมีเวลาถึงวันที่ 27 ธ.ค. ซึ่งมันฉุกละหุก เร็ว และต้องตรวจคุณสมบัติเยอะมาก เรา ทำงานกันยันเช้า เพราะมีคนสมัครมาเยอะมาก ที่น่าแปลกใจ คือมีผู้สมัครที่ไม่คิดว่าจะมาอยู่กับเรา เป็นคนรุ่นใหม่หลายคน
เมื่อถามว่า จุดยืนในการร่วมรัฐบาลครั้งหน้าเป็นอย่างไรเพราะประกาศไว้ว่าไม่สนับสนุนทุนเทา จะร่วมกับพรรคไหนบ้าง นายพีระพันธุ์ ถามกลับว่า มีรัฐบาลไหนบอกว่าตัวเองเป็นทุนเทา มีหรือไม่ แต่หากเราเข้าไปแล้ว มีทุนเทา เราไม่อยู่ด้วย
.jpg)
เมื่อถามถึงจุดยืนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า สิ่งที่พยายามแก้กันอยู่ในวันนี้ หลักการเหตุผลที่แก้กันอยู่ในวันนี้ เราไม่เอา แต่ถ้าจะแก้เพื่อประเทศไทยมั่นคงขึ้น สถาบันหลักของชาติมั่นคงขึ้น คนไทยมีสิทธิเสรีภาพมากยิ่งขึ้น ให้รัฐธรรมนูญเป็นคู่มือประชาชน ในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน เราแก้ให้ดีขึ้น แต่หากแก้เพื่อประโยชน์การเมือง ประเด็นการเมือง เราไม่แก้เด็ดขาด
เมื่อถามว่า ดูจากกลุ่มเป้าหมายของพรรคน่าจะคล้ายกับของพรรคภูมิใจไทย นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนพูดเสมอว่าทั้งหมดอยู่ที่ประชาชน เราไม่ได้มาทำการเมือง เพื่อคนกลุ่มใด หรือรุ่นใดรุ่นหนึ่ง เราทำเพื่อคนไทยทั้งประเทศ
“กลุ่มเป้าหมายคือคนไทยทั้งชาติ ถ้าคนไทยทั้งชาติเชื่อมั่น และผมได้ทำมาแล้ว ไม่ใช่พูดแล้วทำ ผมไม่ชอบโฆษณาตนเอง ผมทำแล้วถึงบอกว่าทำเรียบร้อย ทำเสร็จเรียบร้อย ทำให้ดูแล้ว และจะทำต่อให้ดีขึ้นกว่าเดิม”
ด้านนายอรรถวิชช์ ตอบ คำถามถึงการตัดสินใจ มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรครวมไทยสร้างชาติว่าตนเชื่อมั่นนายพีระพันธุ์ ผลงานเป็นตัวบอก ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าไฟ ที่เป็นการรื้อโครงสร้างที่ยากมาก และทุกทุนที่ชน นายพีระพันธุ์ ไม่สนเลย นี่คือนักการเมือง ต้องเป็นอย่างนี้ หากจะร่วมมือ ร่วมงานทางการเมือง และชนแบบนี้ ไปไหนไปกัน วันนี้เราจะมีมากขึ้น ยิ่งใหญ่มากขึ้น เพราะถ้าพี่น้องประชาชนเข้าใจในสิ่งที่เราทำ ที่ผ่านมา เราอาจจะสื่อสารน้อย แต่จากนี้เป็นต้นไปคือสงครามที่เราจะสื่อสารออกไปว่า เราทำอะไรบ้าง ขอแค่คนเดินไปกับเราด้วย ขอให้มั่นใจในตัวผู้สมัครของเรา ทำให้ประเทศมีความเด็ดขาด และพลิกโฉมให้ได้
.jpg)
ด้านนายพีระพันธุ์ กล่าวเสริมว่า ตนเองต้องขอโทษทุกคน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนเองทำหน้าที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อย่าว่าแต่สื่อสารมวลชนเลย สื่อสารกับตัวเองยังแทบไม่มีเวลาเลย เห็นหน้าตัวเองเพียงแค่ตอนเช้า และก่อนนอน ตนเองรู้ว่าทุกอย่างไม่มีความแน่นอน ทุกวินาทีต้องทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง จึงไม่มีเวลาที่จะสื่อสาร เพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่าการโปรโมทตัวเอง คือประโยชน์ของชาติ และประชาชน ตนไม่ได้เสียใจที่สื่อสารน้อย ซึ่งสิ่งที่ต้องแลกกับการสื่อสารน้อย ทำให้เข้าใจผิดบ้าง หรือประชาชนไม่ได้ข้อมูล ต้องแลกกับประโยชน์ของชาติ และประชาชนที่ทุกวินาทีมีค่า
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ รวมไทยสร้างชาติ มีอดีต สส.คนสำคัญของพรรค ไหลออกไปร่วมงานกับพรรคอื่นเยอะ มองว่าส่วนนี้เป็นจุดได้เปรียบ หรือจุดเสียเปรียบของพรรคในการสู้ศึกเลือกตั้ง นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ไม่สนใจ คนที่อยู่ที่นี่กับเรา ต้องขอบคุณที่ยังยึดมั่นในแนวทาง และอุดมการณ์ของพรรค อยู่กันด้วยแนวทางการทำงาน ไม่ได้อยู่กันด้วยตัวเลข และไม่มีอะไรจะฝากบอกถึงคนที่ออกไปแล้ว”
เมื่อถามว่า ในอนาคตหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว จะมีโอกาสร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย หรืออดีตสมาชิกที่ออกไปหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถ้าร่วมกัน ตนเองก็อยู่ร่วมในรัฐบาล ไม่ได้ไปร่วมกับสมาชิก แต่ศัตรู และคู่แข่งของเรา ไม่ใช่สมาชิกพรรคไหน ไม่ใช่พรรคการเมืองไหน แต่คือวิกฤตของชาติ ดังนั้น การทำงานแก้วิกฤติของชาติ ต้องร่วมมือกัน ต้องไม่มีเรื่องส่วนตัว การทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ต้องไม่เอาปัญหาส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง