
‘กกต.’ชงฟันอาญา-เพิกถอนสิทธิ 3 นักล็อบบี้ เปิดพฤติการณ์ทุจริตเลือก‘สว.’ระดับประเทศ
วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 10.47 น.
‘กกต.’ชงศาลฎีกาฟันอาญา-เพิกถอนสิทธิ 3 คนกลางร่วมขบวนการทุจริตเลือก‘สว.’ระดับประเทศ หลักฐานชัดจ่ายเงินจ้างสมัคร-เปย์ที่พัก-ค่าเดินทาง-แลกลงคะแนน ส่วนอีก‘22 ผู้สมัคร’ระทึกเจอสั่งสอบเพิ่ม ด้านศาลรัฐธรรมนูญเตรียมไต่สวนพยาน 6 ปาก 24 ธ.ค.นี้ ปม‘ภูมิธรรม-ทวี’ยุ่งสอบฮั้วสว. ลุ้นกำหนดวันวินิจฉัย
23 ธันวาคม 2568 เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.มีคำสั่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอน สิทธิเลือกตั้งของนายอับดุลเลาะ สือแม ผู้ถูกร้องที่ 24 นายมะยาลี บาโด ผู้ถูกร้องที่ 25 และนายมูฮัมหมัดมัสรี ฮามิ ผู้ถูกร้องที่ 26 ซึ่งทั้งหมดเป็นบุคคลที่ไม่ใช่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 62 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 226 พร้อมดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 77 (1)ของกฎหมายเดียวกัน และให้กันนายซูรียา ดือเระ ผู้มีสิทธิ์เลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศกลุ่ม 7 หมายเลข 26 ผู้ถูกร้องที่ 5 ไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดีอาญา
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากมีการร้องว่า ในการเลือกตั้งสว.ระดับประเทศ วันที่ 26 มิ.ย.67 การลงคะแนนเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันของกลุ่มที่ 7 ผู้ถูกร้องที่ 1 ถึง 23 ได้ 0 คะแนนเพราะไม่ลงคะแนนเลือกตนเอง ซึ่งเป็นการทุจริตเลือกตั้งในลักษณะสมยอมกันในการลงคะแนนเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 77 (1) มาตรา 79 มาตรา 81พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. 2561
จากพยานหลักฐาน กกต.รับฟัง ได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 24 เป็นผู้ร้องขอให้ ผู้ถูกร้องที่ 5 ซึ่งมีอาชีพรับจ้างกรีดยางมีรายได้เดือนละ 600 บาทไม่ได้ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เข้าสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาอำเภอจะแนะ จ.นราธิวาส โดยรับจะดูแลและมีการออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เมื่อผู้ถูกร้องที่ 5 ผ่านการคัดเลือกมาเป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับประเทศ ผู้ถูกร้องที่ 24 เป็นผู้ประสานให้ผู้ถูกร้องที่ 25และ26 พาผู้ถูกร้องที่ 5 เดินทางไปกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้าร่วมการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศ โดยสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางจากจังหวัดนราธิวาส มายังกรุงเทพฯ และค่าที่พัก ให้แก่ผู้ถูกร้องที่ 5
เมื่อผู้ถูกร้องที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 25 และ26เดินทางไปถึงโรงแรมอิมเพลส เมืองทองธานี ซึ่งเป็นที่พักแล้ว ผู้ถูกร้องที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 25และ 26 ได้เข้าพักที่โรงแรมในห้องเดียวกัน และมีบุคคลมาพบผู้ถูกร้องที่ 5 ที่ห้องพัก พร้อมมอบเงินสดจำนวน 10,000 บาท ให้แก่ผู้ถูกร้องที่ 5 โดยแลกเปลี่ยนกับการที่ผู้ถูกร้องที่ 5ลงคะแนนเลือกตามหมายเลขประจำตัวผู้สมัครที่จดไว้ในกระดาษที่ผู้ถูกร้องที่ 5 ได้รับมา
ผู้ถูกร้องที่ 24,25 และ26 รู้เห็นเป็นใจในการกระทำดังกล่าว ซึ่งมีลักษณะการกระทำร่วมกันเป็นขั้นตอน แบ่งหน้าที่กันทำโดยมีเป้าหมายให้ผู้ถูกร้องที่ 5 เข้าถึงการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศ เพื่อให้ผู้ถูกร้องที่ 5 ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรายอื่น
จึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 24,25 และ26จัด ทำให้เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณ เป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 77 (1) และผู้ถูกร้องที่ 5 ได้รับเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดเพื่อลงสมัครรับเลือกหรือไม่ลงสมัครรับเลือกเพื่อประโยชน์แก่ผู้สมัครผู้ใดและเรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นเพื่อเลือกหรืองดเว้น ไม่เลือกผู้ใด อันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 79 และมาตรา 81ของกฎหมายเดียวกัน ซึ่งการกระทำของผู้ถูกร้องที่ 5 และผู้ถูกร้องที่ 24 ถึงผู้ถูกร้องที่ 26 เป็นการทุจริต การเลือก ทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ตามพ.ร.ป.ว่าด้วย การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 62 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 226 ทั้งนี้ ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ ลต. สว 1/2568คดีหมายเลขแดงที่ ลต.สว 47/2568 ลงวันที่ 5 ส.ค.68
คดีนี้มีผู้ถูกร้องซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศกลุ่มที่ 7 รวม23ราย และบุคคลผู้ไม่ใช่ผู้มีสิทธิ์เลือกสมาชิกวุฒิสภาอีก 3 ราย ซึ่งกกต.ได้แยกลงมติเฉพาะผู้ถูกร้องที่ 5 และผู้ถูกร้องที่ 24-26 ส่วนผู้ถูกร้องที่เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกสว.อีก 22 รายกกต.ได้สั่งแยกให้ไปทำการไต่สวนเป็นอีกสำนวนหนึ่งโดยให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนคณะที่ 4 ส่วนกลางซึ่งเป็นคณะเดิมดำเนินการไต่สวนเพิ่มเติมให้สิ้นกระแสความและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการสืบสวนไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้(24 ธ.ค.68) ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดไต่สวนพยาน 6ปากในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 42 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สิ้นสุดลง เฉพาะตัว หรือไม่ เนื่องจากผู้ถูกร้องทั้งสองขณะดำรงตำแหน่งได้ใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภาของกกต. อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ จนถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรม เป็นการฝ่าฝืน ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ในเวลา10.30น. ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
พยานทั้ง 6 ปาก ได้แก่ พลตำรวจตรีฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พันตำรวจตรี ทวี สอดส่อง อดีตรมว.ยุติธรรม พันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร้อยตำรวจเอกสรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และนายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต.