
คำถามของ ‘ช่อ’ ต่อแผนการรบ แรงสะเทือนที่พรรคส้มต้องรับ
วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงเวลานี้ มีการปะทะ มีการยิง มีการใช้อาวุธและมีผู้เสียชีวิต
กองทัพไทยส่งกำลังประจำการในพื้นที่ควบคุมพื้นที่ปฏิบัติการ และควบคุมข้อมูลด้านความมั่นคงอย่างเข้มงวด
ในสภาพเช่นนี้ คำพูดเกี่ยวกับการใช้กำลัง ไม่ใช่เรื่องถกเชิงความเห็นทั่วไปแต่เชื่อมตรงไปถึงการปฏิบัติการจริงและการรับรู้ของสังคมในวงกว้าง
ชื่อของ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช จึงถูกดึงเข้าสู่ประเด็นทันที จากการออกรายการหนึ่ง ซึ่งมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้กำลังของทหาร ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนที่มีการปะทะจริง
คำถามที่เป็นแกนของข้อถกเถียง เริ่มจากประโยคว่า
“ถ้าจะรบ ไหนแผนเตรียมความพร้อมการรบ รบเบ็ดเสร็จให้จบไป จะรบถึงพนมดงรักหรือพนมเปญ จะเข้าไปสิบกิโล ยี่สิบกิโล ตกลงจะเป็นอย่างไร”
นี่คือคำถามของช่อโดยตรง ไม่ใช่การตั้งคำถามเชิงนโยบายลอย ๆ แต่เป็นการไล่ถามไปที่ขอบเขตของการใช้กำลังทั้งพื้นที่ เป้าหมาย และระยะของการปฏิบัติการ
แม้จะไม่มีคำว่า “กางแผนการรบ” ปรากฏตรงตัว แต่ถ้อยคำอย่าง “ไหนแผนเตรียมความพร้อมการรบ”และ “จะรบถึงไหน” เมื่อถูกพูดในบริบทที่มีการสู้รบจริง ย่อมถูกเชื่อมโยงไปถึงแกนของแผนการรบของทหารโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถัดจากนั้น ช่อวางเงื่อนไขต่อทันทีว่า“ไม่ได้ต้องการรู้ยุทธวิธีละเอียดไม่อยากรู้ และไม่ควรบอกให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้”
การรีบวางเงื่อนไขเช่นนี้ สะท้อนชัดว่าผู้ตั้งคำถามเองก็รับรู้ดี ว่าคำถามก่อนหน้าเข้าใกล้พื้นที่อ่อนไหว ซึ่งทหารไม่สามารถอธิบายต่อสาธารณะได้
เพราะสำหรับทหาร แผนการรบและยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงทฤษฎี แต่คือกรอบที่กำหนดการใช้กำลังการเคลื่อนกำลัง และความปลอดภัยของกำลังพลในสนามจริง
การเปิดเผยทิศทาง เป้าหมาย หรือขอบเขตการรบ ย่อมทำให้ฝ่ายตรงข้ามประเมินการเคลื่อนไหวได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีประเทศใดทำ ในช่วงที่การปฏิบัติการกำลังเกิดขึ้นจริง
จากนั้น ช่อขยายคำถามต่อไปชัดเจนว่าสิ่งที่ต้องการรู้คือ “ยุทธศาสตร์ในการรบ”
ในคำถามของช่อเอง ยุทธศาสตร์ไม่ได้ถูกพูดในเชิงนามธรรม แต่ถูกตั้งเป็นคำถามตรง ๆ ว่า จะรบแบบไหน รบเพื่อเป้าหมายอะไร และจะขยายการรบไปถึงระดับใด
เมื่อวางคำถามทั้งหมดของช่อเรียงต่อกันสิ่งที่สังคมได้ยิน จึงไม่ใช่เพียงการแสดงความเห็นต่อสถานการณ์ แต่เป็นการเรียกร้องให้ทหารออกมาอธิบายว่า
หากจะใช้กำลังจริง
จะรบอย่างไร
จะรบไปถึงไหน
และมีแผนการรบของทหารรองรับอยู่หรือไม่
นี่คือเหตุผลที่คำถามชุดนี้ ถูกตีความว่าเป็นการเรียกร้องให้เปิดทิศทางของแผนการรบ ทั้งที่รู้กันดีว่าแผนการรบและยุทธศาสตร์ของทหาร ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะได้ โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ยังปะทะกันอยู่
ตรงนี้เอง คือแกนของข้อวิจารณ์ทั้งหมด
ประเด็นของเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่การใส่ร้ายหรือการบิดคำพูด
แต่เกิดจากรูปแบบคำถาม เมื่อถูกตั้งในจังหวะเวลาเช่นนี้ ย่อมเปิดช่องให้ถูกอ่านไปในทิศทางนั้นได้
ยิ่งคำถามดังกล่าว ออกมาจากบุคคลที่มีภาพจำทางการเมืองชัดเจน การรับรู้ของสังคม ย่อมไม่แยกคำถามออกจากตัวบุคคล
ภาพจำทางการเมืองของ “ช่อ” สะสมมาจากจุดยืนในอดีต ที่วิพากษ์บทบาทของทหาร และกรอบความคิดด้านความมั่นคงมาอย่างต่อเนื่อง
แม้จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตไม่สามารถลงสมัครหรือดำรงตำแหน่งใดได้อีก แต่น้ำหนักทางความคิดไม่ได้หายไป
ในทางตรงกันข้าม “ช่อ” ยังถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้กำหนดกรอบความคิด ของพรรคประชาชน หรือที่สังคมเรียกกันทั่วไปว่า “พรรคส้ม” ไม่ใช่ในฐานะแขกนอกวง แต่ในฐานะคนที่แนวคิดถูกใช้อ้างอิงและถูกยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของทิศทางทางการเมืองของพรรคนี้
ความสัมพันธ์ลักษณะนี้ ทำให้คำถามของ “ช่อ” ไม่เคยถูกฟังแยกออกจากพรรคส้ม อย่างแท้จริง แม้จะไม่มีตำแหน่ง แม้จะไม่มีบทบาทในโครงสร้างพรรค แต่ในทางการเมือง แนวคิดของช่อยังถูกนับรวมเป็น “เสียงเดียวกัน”
เมื่อคำถามเรื่องแผนและขอบเขตการรบออกมาจากบุคคลที่มีสถานะเช่นนี้ แรงสะเทือนจึงไม่ได้ตกอยู่ที่ตัวบุคคลเพียงลำพัง แต่พุ่งตรงไปถึงพรรคส้มโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
พรรคอาจไม่ได้ส่งใครไปออกรายการอาจไม่ได้ออกแถลงการณ์ และอาจไม่ได้กำหนดท่าทีอย่างเป็นทางการ แต่การไม่พูด ไม่ชี้แจง และไม่กำหนดเส้น ก็เท่ากับการยอมให้สังคมรับรู้ว่า กรอบความคิดเช่นนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองพรรคส้ม
นี่คือจุดที่พรรคส้มไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางการเมืองได้ เพราะเมื่อเลือกเดินการเมืองแบบพึ่งพาบุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดสูง แต่ไม่มีตำแหน่งให้ตรวจสอบ ทุกถ้อยคำในประเด็นอ่อนไหว ย่อมกลายเป็นภาระของพรรคโดยอัตโนมัติ
กรณีนี้จึงไม่ได้สะท้อนแค่คำถามของช่อ แต่สะท้อนการตัดสินใจของพรรคส้มเองที่ยอมให้การเมืองของพรรค ถูกขับเคลื่อนด้วย “เครือข่ายความคิด” มากกว่าท่าทีที่ชัดเจนขององค์กรพรรค
ในประเด็นที่มีต้นทุนสูงอย่างความมั่นคงพรรคไม่อาจเลือกยืนกึ่งกลาง ไม่อาจปล่อยให้บุคคลในแนวเดียวกันพูดแทน แล้วถอยออกมาบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
เพราะในการเมืองแบบนี้ คำถามบางคำ เมื่อออกจากปากคนอย่างช่อ ไม่ใช่แค่คำถามของบุคคล แต่ถูกอ่านว่าเป็นทิศทางของพรรค
และพรรคที่ยอมให้ภาพนั้นดำรงอยู่ ก็ต้องยอมรับผลทางการเมืองที่ตามมา โดยไม่อาจผลักภาระนั้นออกไปจากตัวเองได้อีกต่อไป
ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์