
‘ยศชนัน’ควง‘สุริยะ’พร้อมผู้บริหารเพื่อไทย เข้าพบ ส.อ.ท. หารือแนวทางการพัฒนาศก.
วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 11.29 น.
‘ยศชนัน’ ควง ‘สุริยะ’ พร้อมผู้บริหารเพื่อไทย เข้าพบ ส.อ.ท. หารือแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต หนุน ใช้ AI-เทคโนโลยี นำงานวิจัยมาใช้จริง เผย รัฐต้องผู้จัดหาลิขสิทธิ์เทคโนโลยี ลดภาระการลงทุน ชี้หากทุกพรรคมองเป้าหมายเดียวกัน จะเห็นใครหวังดี ให้ประเทศไปข้างหน้า
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 24 ธันวาคม ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรค พท.และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายจักรพงษ์ แสงมณี รองหัวหน้าพรรค นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองหัวหน้าพรรค นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาลที่ปรึกษารองหัวหน้าพรรค และนายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรค เข้าพบนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. เพื่อพูดคุยหารือประเด็นปัญหาต่างๆ และแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต
โดยนายเกรียงไกร กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยทั้ง 2 คน พร้อมกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยได้มาร่วมประชุมหารือปรึกษากับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกท่านทราบว่า ขณะนี้ใกล้การเลือกตั้ง เศรษฐกิจของประเทศก็เช่นกันอยู่ในช่วงเปราะบางมาก
“ฉะนั้น ปัญหาปากท้องปัญหาเศรษฐกิจคือหัวใจที่คนไทยทุกคนกำลังเฝ้ารอนโยบายในการพลิกฟื้นทำให้เศรษฐกิจของเราสามารถกลับมาเดินได้ กลับมาแข่งขันได้ ในภาคอุตสาหกรรมถือเป็น 1 ใน 3 ของจีดีพีประเทศ ซึ่งมีสมาชิกและมีผู้ประกอบการ มีการจ้างงานจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมาด้วยปัญหาต่างๆ ด้วยความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้น เราต้องปรับตัว” นายเกรียงไกร กล่าว
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า อุตสาหกรรมขณะนี้ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีที่ขณะนี้ก้าวเข้าสู่ในอุตสาหกรรมที่มีอยู่ดั้งเดิมทั้งหมด เรื่องปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลกระทบทำให้สินค้าต่างๆ มีการเปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง ในการส่งออกส่วนหนึ่งสินค้าจำนวนมากได้ไหลเวียนเข้ามาในภูมิภาคนี้ รวมถึงประเทศไทยได้ผลกระทบอย่างหนัก SME เป็นผู้ที่มีความอ่อนแอ ได้รับผลกระทบหนักที่สุด และบังเอิญ SME เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ และสถานการณ์นับวันทวีความรุนแรง ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้เห็นมีมาตรการใดในการช่วยปกป้องได้ดีพอ
นายเกรียงไกร กล่าวด้วยว่า จะเห็นว่าปีนี้เป็นปีที่เราดีใจเรื่องการส่งออก แต่เมื่อดูจริงๆหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะภาคการผลิตของประเทศไทยที่เรียกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index หรือ CPI) ไม่ได้ขยับตัว แต่การส่งออกที่มากมายเหล่านั้นเป็นคำถามว่าเป็นสินค้าอะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องคุยในเรื่องรายละเอียดต่อไป ทั้งนี้ เรามองเห็นความคาดหวังในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการปรับโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมเพื่อไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตตามที่ตั้งใจไว้เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ทำให้เราสามารถเดินต่อได้สร้างความแข็งแรงอย่างยั่งยืน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นคีย์เวิร์ดในการประชุมวันนี้
ขณะที่นายยศชนัน กล่าวว่า นี่เป็นหน่วยงานแรกที่พรรคเพื่อไทยมาพบและรับฟังทุกอย่าง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนมารับฟังสิ่งที่ชาวอุตสาหกรรมเสนอ ตนเคยเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยงานชาวสภาอุตสาหกรรมมาโดยตลอด ก่อนที่จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็เคยพูดคุยกันในส่วนของมหาวิทยาลัย ซึ่งเคยศึกษาหลายอย่างและหลายกลุ่ม โดยสิ่งที่สภาอุตสาหกรรมทำในภาพรวม ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับพรรคเพื่อไทย
“สำหรับแนวทางของพรรคเพื่อไทยที่ได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้ในเบื้องต้นคือ อยากให้ประเทศไทย เปลี่ยนเป็นประเทศที่วันนี้ หากมีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเข้ามา ให้มองที่จุดหมายเดียวกัน เราพยายามขับเคลื่อนข้างหลังเพื่อให้เห็นว่าวันนี้ไม่ว่าจะเรื่องปีกย่อยหรือเรื่องเล็ก ๆ ที่ทำให้แตกแยก ซึ่งทุกคนต้องเห็นว่าใครหวังดีจริง ๆ และใครที่พูดเกี่ยวกับให้ประเทศไปข้างหน้า พวกเราต้องเป็นเสาหลัก“ นายยศชนัน กล่าว
นายยศชนัน กล่าวต่อว่า ปัจจุบันไทยมีความได้เปรียบตรงไหนบ้าง มีความเชื่อมโยง เป็นศูนย์กลางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นความเข้มแข็งของเรา ตลาดด้านซ้ายมือคือประเทศอินเดีย ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ส่วนข้างบนคือจีนตอนใต้ ข้างล่างคืออินโดนีเซีย ซึ่งประเทศไทยมีประชากร 60 ล้านคน แต่ประชากรอาเซียน 600 ล้านคน ถือว่าเป็นมูลค่ามหาศาล และการทำให้เกิดสันติภาพในดินแดนนี้ โรงงานใดโรงงานหนึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย ก็ไม่ใช้แค่ในประเทศไทย แต่ซัพพลายเชนใช้อยู่ทั้งประเทศ หรือเรื่องค่าเงิน และการส่งออกของไทย มีความจำเป็นต้องทำให้กลมกลืน และขนานกันไปกับนโยบายด้านการเงินการคลัง เพื่อทำให้เงินเข้ามาง่ายขึ้น
นายยศชนัน กล่าวต่อว่า อีกสองอย่างที่ต้องการพูดคือ เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เรามีอยู่แล้ว และสนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเข้ามาทุกรูปแบบ เนื่องจากตอนนี้เรามีปัญหาเกี่ยวกับคนหรือเรื่องงานต่างๆ และคนของเราเป็นสังคมผู้สูงวัยมากขึ้น สิ่งเดียวที่เราทำได้คือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ การเข้ามาของเอไอ ซึ่งก็เป็น ส่วนหนึ่งที่เรามีความจำเป็นต้องช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการส่งเสริมเส้นทางคมนาคมให้เต็มรูปแบบสู่การผลิตขั้นสูง (Advanced Manufacturing) ปัญหาหลักที่มักถูกตั้งคำถามคืออุตสาหกรรมและเทคโลยีใหม่ๆ จะเข้าสู่ประเทศไทยได้อย่างไร ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้จัดหาลิขสิทธิ์เทคโนโลยี หรือ License-in ซึ่งรัฐบาลสามารถลงทุนเองได้ เช่น โครงการจัดหาแท็บเล็ตให้กับเด็กไทย แทนที่เราจะซื้อตัวเครื่องจากต่างประเทศอย่างเดียว
นายยศชนัน กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรเปลี่ยนมาลงทุนในเทคโนโลยีแกนกลางของแท็บเช็คนั้นได้หรือไม่ และสามารถส่งชิ้นส่วนบางส่วนเข้ามาให้อุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการผลิต ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดจากการวางรากฐานที่ดี ไม่ใช่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว แต่ต้องขยายผลไปสู่การวิจัยและพัฒนา หรือ R&D (Research and Development) ในระดับมหภาค เช่น ไต้หวัน ที่จะมีการส่งสินค้าเข้ามาลงทุนก็ต้องมีการร่วมมือกับ Science Park เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) อย่างเป็นรูปธรรม
นายยศชนัน กล่าวอีกว่า เมื่อเราดึงเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาแล้ว สิ่งสำคัญคือไทยต้องพร้อมรองรับ และต้องมีการอัพสกิล รีสกิล เพิ่มทักษะแรงงานในทุกมิติ หากบุคลากรในประเทศยังไม่พอ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดความสะดวกมากขึ้นผ่านระบบ One Stop Service หรือไม่ โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นต้องดูว่าจะขัดต่อกฎหรือไม่ โดยภาครัฐก็จะช่วยเหลือในส่วนนี้ด้วย
นายยศชนัน กล่าวอีกว่า สำหรับกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ (New Growth Engine) จะต้องสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs หรือ Sustainable Development Goals โดยเฉพาะนโยบาย Net Zero อุตสาหกรรมหนักอย่างเหล็กและซีเมนต์จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง ถ้าไม่ทำอะไรในส่วนนี้จะเกิดปัญหา นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีข้อได้เปรียบด้าน Synthetic Biology ซึ่งเรามีผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัยวิจัยจำนวนมากที่พร้อมจะเชื่อมโยงความรู้สู่ภาคเอกชน เพื่อให้นำมาใช้จริงรวมถึงการผลักดัน Green Premium เพื่อให้อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีต้นทุนที่แข่งขันได้มากกว่าอุตสาหกรรมที่สร้างมลพิษ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน เพื่อให้เห็นว่าไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
นายยศชนัน กล่าวอีกว่า ขณะที่เรื่องสภาพคล่อง (Liquidity) บริษัทใหญ่หากจะต้องลงทุนใน R&D การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม โดยการสนับสนุนให้เกิด Startup Spin-off และ SME รัฐควรส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ที่มีไอเดียสร้างสรรค์ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งวันนี้หากทำให้คนที่ยังสดใหม่อยู่ มีแนวคิดใหม่ๆ ตนเห็นโครงการของสภาอุตสาหกรรมให้บริษัทใหญ่ทำหน้าที่เป็น Venture Capital (VC) หรือ Angel Investor เมื่อบริษัทใหญ่เห็นศักยภาพก็สามารถเข้าซื้อสิทธิ์ หรือร่วมกิจการได้ โดยให้บริษัทใหญ่เป็นผู้เฟ้นหา และซื้อลิขสิทธิ์ กิจการของสตาร์ทอัพเหล่านี้
”ดังนั้น เราจะได้ไอเดียมากมายเต็มไปหมดจากคนตัวเล็กๆ เหล่านี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสของลูกหลานของเราเชื่อมโยงกับบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมยา แน่นอนว่าเรื่องนี้คนตัวเล็กไม่สามารถ ทำได้จนจบสุดท้ายบริษัทใหญ่ต้องซื้อลิขสิทธิ์ไปอย่างแน่นอน ดังนั้น กลไกเหล่านี้จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ สามารถที่จะเจอความคิดสร้างสรรค์ได้ คือ Ecosystem ซึ่งวันนี้หากเปลี่ยนรัฐบาลประเทศจะเดินหน้าไปอย่างไร แต่ว่าระบบ Ecosystem หรือโครงสร้างพื้นที่และการที่เราอยู่ในพื้นที่ที่ถูกต้อง ไม่ว่าลูกหลานเราจะเกิดในพื้นที่ใดก็แล้วแต่จะสามารถเดินหน้าต่อได้“ นายยศชนัน กล่าว