
รบ.หนุนทุกเหล่าทัพสู้ศึกเขมร ไฟเขียว5พันล. อนุมัติงบกลางอีก206ล.ให้ทบ.
วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.
รบ.หนุนทุกเหล่าทัพสู้ศึกเขมร ไฟเขียว5พันล. อนุมัติงบกลางอีก206ล.ให้ทบ. ‘ทภ.2’ถล่ม18เป้าหมาย ทหารไทยพลีชีพอีก1นาย
ทภ.2 เจาะ 18 เป้าหมายฐานทหารกัมพูชาผามออีแดง-ช่องอานม้า เขมรระดม BM-21 และปืนใหญ่ตอบโต้ พบรถถังติดอาวุธยิงควบคุมช่องภูผี พื้นที่รอบภูมะเขือ ปะทะต่อเนื่องด้าน‘สุรินทร์’ปะทะหนัก เขมรจ้องประชิดปราสาทตาเมือนธมชาวบ้านเฝ้าระวัง‘โดรน-สายลับ’ครม.ไฟเขียวงบกลาง206ล้าน เสริมเขี้ยวเล็บทบ.พร้อมอนุมัติอีกกว่า5พันล้าน ให้ทุกเหล่าทัพสู้ศึกชายแดน เผยอนุมัติแก้กรอบเวลาเยียวยาผู้ประสบเหตุชายแดน เป็นตั้งแต่ 16ก.ค.68 ไปถึงจนกว่าสถานการณ์จะปกติ ยัน มีปูนบำเหน็จทหาร-ขรก.ในพื้นที่แน่ รอคลี่คลายก่อน
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 23 ธ.ค. 2568 มีกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัดอีสานใต้วานนี้ (22 ธันวาคม)โดยตลอดทั้งวันเกิดการปะทะและการใช้กำลังทางทหารหลายจุดสำคัญ
ทภ.2เจาะ18เป้าหมายฐานทหารเขมร
ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ฝ่ายไทยใช้การยิงสนับสนุนแบบรวมอำนาจ โดยมุ่งเป้าหมายทางทหารของกัมพูชา ที่เป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทยอย่างน้อย 18 เป้าหมาย ในพื้นที่ผามออีแดงและช่องคานม้า ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาตอบโต้ด้วยจรวดหลายลำกล้อง BM-21 และปืนใหญ่จำนวนมาก แต่ความแม่นยำต่ำส่วนใหญ่ตกนอกพื้นที่สำคัญ ด้านการใช้ UAV ของฝ่ายกัมพูชายังเป็นการบินลาดตระเวนเชิงสัญลักษณ์ แต่ไม่สามารถหยุดหรือทำลายระบบการยิงของฝ่ายไทยได้ โดยภาพรวม ไทยยังได้เปรียบทั้งด้านการควบคุมพื้นที่ จังหวะการรบ และการเลือกเป้าหมายเชิงยุทธการ
กองทัพภาคที่ 2 เผยว่า ชายแดนจังหวัดอุบลราชธานีพื้นที่ช่องบก มีการเฝ้าตรวจของกำลังฝ่ายไทยต่อเนื่อง ขณะที่พื้นที่ช่องอานม้า ช่วงกลางวันไม่พบความเคลื่อนไหวสำคัญของทหารกัมพูชา ก่อนที่ช่วงค่ำ ไทยตรวจพบฐานที่มั่นที่เป็นภัยคุกคามกับประเทศไทยโดยฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงเข้ามาในพื้นที่ ฝ่ายไทยจึงจำเป็น ต้องใช้อาวุธยิงใส่เป้าหมายกำลังฝ่ายกัมพูชา ที่มีกำลังพลอยู่ประมาณ 30 นาย บริเวณทิศใต้ของช่องอานม้า
ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษพื้นที่แนวซำแต–โดนตรวล–ภูผี–สัตตะโสม–พนมประสิทธิโส–ช่องตาเฒ่า ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธหนัก ปืนใหญ่ ปืน ค. และรถถัง ยิงเข้ามายังฝ่ายไทย พร้อมพยายามค้นหาที่ตั้งรถถังของไทย โดยฝ่ายไทยตรวจพบรถถัง ฝ่ายกัมพูชาอย่างน้อย 4 คัน และใช้อาวุธปืนใหญ่ยิงควบคุมพื้นที่รอบภูผี ซึ่งเป็นฐานยิงหลักของทหารกัมพูชา ส่งผลให้ไทยทำลายเป้าหมายได้หลายจุด
เขมรบินโดรนสอดแนม-ยิงโจมตีไทย
บริเวณผามออีแดง–ห้วยตามาเรีย ฝ่ายกัมพูชาได้ยิงอาวุธ ปืนใหญ่ จากเนิน 281 เข้าสู่พื้นที่ภูมะเขือ จาก ตรวจพบรถบรรทุก 2 คันเคลื่อนที่จากบ้านโกมุย รวมถึงมีการยิงปืนใหญ่และ จรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้ามาพื้นที่ฝ่ายไทยหลายระลอก กระสุนบางส่วนตกในพื้นที่บ้านภูมิซรอล ขณะที่ฝ่ายไทยใช้อาวุธปืนใหญ่และปืนค. ยิงตอบโต้บริเวณผามออีแดงและช่องคานม้า เพื่อทำลายเส้นทางลำเลียง ยุทโธปกรณ์และกำลังพลของกัมพูชานอกจากนี้ ในพื้นที่ภูมะเขือ–ช่องโดนเอาว์–พลาญยาว–พลาญหินแปดก้อน ตรวจพบโดรนขนาดใหญ่ของกัมพูชาใช้โดรนบินจากภูมะเขือไปยังผามออีแดง เพื่อตรวจดูสภาพพื้นที่ของฝ่ายไทย
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ส่วนหลังของจังหวัดศรีสะเกษ มีรายงานกระสุนปืนใหญ่ไม่ทราบชนิดตกในพื้นที่บ้านภูมิซรอลและบ้านซำเม็ง ส่งผลให้สายไฟฟ้าแรงสูงขาด ทำให้ไฟฟ้าดับในทั้งสองหมู่บ้าน
เขมรยิงBM-21ใส่ตาควรทหารไทยเจ็บ1
ชายแดนจังหวัดสุรินทร์พื้นที่ช่องจอม–ช่องเปรอ–ช่องระยี ตรวจพบบุคคลอยู่บนอาคารสูง ก่อนมีโดรนหลายลำบินขึ้น ขณะที่กัมพูชาร้องขอการสนับสนุนกระสุนเสบียงให้เข้ามาส่งพื้นที่พื้นที่คนาและตาควาย ฝ่ายไทยสถาปนาที่มั่นและตรึงกำลังต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ทหารกัมพูชายังยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้ามาในพื้นที่ตาควาย ทำให้กำลังพลไทยบาดเจ็บ 1 นาย และพบการบินโดรนหลายครั้ง โดยเฉพาะบริเวณเนิน 350
ส่วนพื้นที่ช่องกร่าง พบการเสริมกำลังของกัมพูชา ขณะที่พื้นที่ปราสาทตาเมือนธมมีการยิงปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้ามาในพื้นที่ รวมถึงใช้อาวุธ RPG ยิงใส่ฐานฝ่ายไทยส่งผลให้มีกำลังพลบาดเจ็บอีก 1 นาย และตรวจพบ UAV ช่วงค่ำ
ชายแดนจังหวัดบุรีรัมย์พื้นที่ช่องสายตะกู ทั้งสองฝ่ายยังตรึงกำลังตลอดแนว ไม่มีรายงานการปะทะรุนแรงเพิ่มเติม
สุรินทร์เดือด-เขมรเคลื่อนพลประชิดชายแดน
ที่จ.สุรินทร์ รายงานสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมตลอดทั้งวัน ไทยกับกัมพูชามีการปะทะกันต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เช้าถึงเย็น มีการยิงปะทะกันด้วยปืนใหญ่ตอบโต้กันอย่างหนักหน่วง ฝั่งกัมพูชาระดมยิง BM-21 เข้ามาฝั่งไทย 5-6 ชุดการปะทะหนักกว่าช่วงที่ผ่านมา BM-21 หลายลูกเข้ามาตกเขตพื้นที่พลเรือน โดยเฉพาะสวนยางพารา ป่ามันสำปะหลัง บางส่วนตกในป่าอ้อยทำให้เกิดไฟลุกไหม้
ขณะที่ช่วงค่ำฝั่งไทยพบความเคลื่อนไหวของกำลังทหารฝั่งกัมพูชาที่พยายามเข้ามาประชิดชายแดนบริเวณด้านปราสาทตาเมือนธม จึงระดมยิงปืนใหญ่เข้าใส่เพื่อกดดันแนวรบกองกำลังกัมพูชาที่จะเข้ามา มองเห็นดวงไฟลูกกระสุนปืนใหญ่มุ่งหน้าไปทางปราสาทตาเมือนธมอย่างชัดเจนจนถึงเวลา 18.30 น. วันที่ 22 ธ.ค.68 เสียงปืนใหญ่ฝั่งไทยจึงเงียบเสียงลง
ชาวบ้านเฝ้าระวังโดรน-สายลับ
ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงนำผ้ามาคลุมหลอดไฟส่องสว่างโซล่าเซลล์นอกบ้าน เพื่อพรางแสงให้เหลือน้อยที่สุด ป้องกันตกเป็นเป้าโดรนพลีชีพของกัมพูชา นอกจากนี้ในพื้น อ.พนมดงรัก ได้ปิดไฟส่องสว่างบนถนนตามหมู่บ้าน และถนนสายหลัก 224 ตลอดเส้นทาง ซึ่งสถานการณ์ในพื้นที่ตึงเครียด ต้องเฝ้าระวังต่อสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา
ด้านนายอภิรักษ์ อนุทูล ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ต.ตาเมียง ซึ่งมีพื้นที่ใกล้กับปราสาทตาเมือนธม กล่าวว่า เรื่องสำคัญขณะนี้ต้องเฝ้าระวังเข้มงวดคือ บุคคลแปลกหน้าที่จะเข้ามาในพื้นที่ตอนนี้กัมพูชามีความพยายามเข้ามาประชิดชายแดนด้านปราสาทตาเมือนธมไปจนถึงช่องกร่าง และเนิน 350 ซึ่งต้องขอความร่วมมือผู้อพยพที่อยู่ยังศูนย์พักพิง ตอนนี้สถานการณ์ชายแดนยังตึงเครียด ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ยังไม่ให้กลับเข้าพื้นที่
ครม.ไฟเขียว206ล.เสริมเขี้ยวเล็บทบ.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.มีมติอนุมัติงบกลางสำหรับกองทัพบก (ทบ.) จัดหายุทธภัณฑ์เพิ่มเติม เพื่อเสริมศักยภาพของกำลังพลอีก 206 ล้านบาท ซึ่งรายละเอียดอยู่ในชั้นความลับ แต่เรียนให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลได้สนับสนุนกองทัพในการเสริมศักยภาพครั้งนี้ นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนกระทรวงกลาโหมโดยผ่านกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศเพิ่มเติมอีกในกรอบวงเงิน 5,050,871,138 บาทรายละเอียดอยู่ในชั้นความลับเช่นกัน แต่เป็นการประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนกำลังพลอย่างเต็มที่ต่อภารกิจที่กำลังปฏิบัติอยู่ เพื่อเป็นการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย
นายสิริพงศ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ขอมติครม.ในการทบทวนมติครม. เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม เนื่องจากมติ ครม.ดังกล่าว ได้กำหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาต่อผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม- 2 สิงหาคม มติซึ่งครม. ครั้งนั้นทำให้ผู้ที่ประสบเหตุหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นทหารที่ไปเหยียบกับระเบิด หรือกรณีมีการปะทะกันหลังจากวันนั้นมา ผู้ที่ประสบเหตุจะไม่เข้าหลักเกณฑ์เลย ดังนั้น สมช.จึงขอปรับมติ ครม.ใหม่ โดยใช้กรอบวงเงินเดิมจากวันที่ 16 กรกฎาคมไปจนกว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจะเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งหลักเกณฑ์การเยียวยาเป็นเช่นเดิมทุกประการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจบเหตุ จะมีงานเยียวยาปูนบำเหน็จทหารในภาพรวมหรือไม่ นายศิริพงษ์กล่าวว่า วันนี้พูดคุยกันประเด็นนี้ ไม่ได้หมายถึงทหารเท่านั้น แต่หมายถึงข้าราชการในพื้นที่อพยพทั้งหมด ที่ไม่ว่าจะเป็นในศูนย์อพยพหรือ ผู้ที่ต้องไปอำนวยความสะดวกจะพูดคุยกันครั้งถัดไปในที่ประชุมครม.
เมื่อถามย้ำว่า จะมีความชัดเจนว่าให้เป็นเงินหรือปูนบำเหน็จ นายสิริพงษ์กล่าวว่า มีแน่นอน เพราะเป็นแนวทางของรัฐบาลอยู่แล้ว ปัจจุบันอาจเร็วเกินไปที่จะพูดถึง การให้ขวัญและกำลังใจและการปูนบำเหน็จ เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่ได้คลี่คลาย แต่สิ่งที่รัฐบาลทำได้ตอนนี้คือ การสนับสนุนตามคำขอของฝ่ายความมั่นคงในทุกรูปแบบเท่าที่ รัฐบาลสามารถจะดำเนินการได้ ซึ่งจากข้อสั่งการนายกฯกรณีที่ทายาทกำลังพลเสียชีวิตจะต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ทายาทของเขาเหล่านั้นสามารถบรรจุได้ ส่วนเรื่องการปูนบำเหน็จรางวัล ทั้งในส่วนของกำลังพลและส่วนข้าราชการพลเรือนจะเป็นเรื่องที่จะนำมาพูดคุยกันในครั้งต่อไป