สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน รับการทูลเกล้าญ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาฯ

สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน  รับการทูลเกล้าญ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาฯ

สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน รับการทูลเกล้าญ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาฯ

วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 14.46 น.

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก และสมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏานเสด็จจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ โดยมี ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ พร้อมด้วยผู้บริหารมหาวิทยาลัย และนิสิตภูฏานที่ศึกษาอยู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเฝ้าฯ รับเสด็จ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น. ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในการนี้ ศ.(พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทูลเกล้าฯ ถวาย ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการพัฒนาระหว่างประเทศ แด่ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ในฐานะที่ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่พสกนิกรด้วยพระราชหฤทัยตั้งมั่นอยู่บนการพัฒนาอันยั่งยืน ทรงให้ความสำคัญด้านการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ทรงดำเนินโครงการในพระราชดำริโดยให้ความสำคัญแก่เยาวชนและเด็ก ทรงเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน และทรงสนับสนุนการมี    ส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นของประชาชนตามวิถีประชาธิปไตย และทูลเกล้าฯ ถวาย ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา แด่ สมเด็จพระราชินี เจตซุน เพมา วังชุก ในฐานะที่ทรงเป็นนักพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน ทรงมีพระปรีชาญาณ พระเมตตาและพระวิสัยทัศน์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวภูฏานทั้งในด้านสุขภาวะ ความเสมอภาค การอนุรักษ์และการพัฒนา และนำพาประเทศไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ จากนั้น ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแก่นิสิตภูฏานแด่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก จำนวน 5 ทุน และถวายแด่สมเด็จพระราชินี เจตซุน เพมา วังชุกจำนวน 5 ทุน

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก พระราชทานพระราชดำรัสถึงพระราชปณิธานแห่งการรับใช้ประชาชน ในฐานะพระประมุขของราชอาณาจักรภูฏาน   ความสำคัญว่า “ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ผู้ทรงรับพระราชภารกิจในการสืบสานพระราชปณิธานจากบูรพมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่ง ข้าพเจ้าเฝ้ามองพระองค์ด้วยความชื่นชมในความสง่างามและความมุ่งมั่นที่ทรงมีต่อการศึกษา การสาธารณสุข และการพัฒนาเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของราษฎรไทย

อีกทั้งข้าพเจ้ายังได้รับแรงบันดาลใจจากบทสนทนาระหว่างข้าพเจ้าและพระราชบิดาที่ว่า “เจ้ามิได้มีหน้าที่รับใช้เรา แต่เจ้ามีหน้าที่รับใช้ชาติและประชาชน” ซึ่งข้าพเจ้าได้ประจักษ์ในภาพเดียวกันนั้นจากสมเด็จ   พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีที่ทรงเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อแผ่นดินไทยด้วยความเข้มแข็งอย่างน่าเลื่อมใสยิ่ง

บทเรียนจากสองมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในการก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าโชคดีที่มีครูผู้ยิ่งใหญ่สองท่าน ท่านแรกคือ พระราชบิดาของข้าพเจ้า ผู้สอนให้รู้ว่าเป้าหมายเดียวของกษัตริย์คือการรับใช้ประชาชน และท่านที่สองคือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ พระองค์ทรงเป็น “กษัตริย์นักพัฒนา” ผู้ทรงตรากตรำพระวรกายเพื่อเข้าถึงปัญหาที่แท้จริงของราษฎร ปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระองค์คือต้นแบบแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจดจำมิลืมเลือนคือ “ความอ่อนน้อมถ่อมตน” ที่พระองค์ทรงมีตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์

มิตรภาพที่ไร้กาลเวลา ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2549 เมื่อครั้งข้าพเจ้ามาร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ    60 ปี ในฐานะมกุฎราชกุมาร ชาวไทยไม่ได้เรียกข้าพเจ้าด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ แต่เรียกข้าพเจ้าว่า “เจ้าชายจิกมี” เสมือนเป็นคนในครอบครัว ความเมตตานั้นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าจะขอตอบแทนมิตรภาพนี้แก่ประเทศไทยอย่างสุดความสามารถ

ประเทศไทยคือชาติที่คงความเป็นเอกราชมาได้ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบกับความเข้มแข็งของพสกนิกร ข้าพเจ้าเชื่อมั่นใน “สติปัญญา” ของคนไทยที่รู้จักความยืดหยุ่นและรู้วิธีการรักษาสมดุล สิ่งนี้จะนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่มั่นคง

ข้าพเจ้าและพระราชินีจะเก็บรักษาเกียรติยศจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้ในใจตลอดไป ขอให้มิตรภาพระหว่างไทยและภูฏานยั่งยืนสถาพรสืบไป”

ความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับราชอาณาจักรภูฏานได้รับการสั่งสมและเสริมสร้างผ่านความร่วมมือทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมตลอดหลายทศวรรษ โดยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ มีความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตภูฏานในประเทศไทย และหน่วยงานในภูฏาน ทั้งในด้านวิชาการ ด้านวัฒนธรรม และด้านความสัมพันธ์เชิงการทูต มีการจัดปาฐกถาและการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ต่อมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการจัดตั้ง “ศูนย์ปัญญาไทย – ภูฏานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” (Thai-Bhutan Academy for Sustainable Futures) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ วิจัย และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านภูฏานศึกษา พร้อมทั้งยกระดับบทบาทของจุฬาฯ ในฐานะผู้นำทางวิชาการระดับนานาชาติด้านเอเชียศึกษาและความร่วมมือ   เชิงนโยบายระหว่างประเทศ

 ทั้งนี้ ในปีการศึกษา 2568 มีนิสิตชาวภูฏานศึกษาอยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจำนวน 6 คน เป็นนิสิตระดับปริญญาเอก บัณฑิตวิทยาลัย 1 คน และนิสิตปริญญาโท 5 คน จากบัณฑิตวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข

ศ.(พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาฯ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์, นฤมล ล้อมทอง, ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ และ ผาณิต พูนศิริวงศ์

สารัชถ์-นลินี รัตนาวะดี, สนั่น อังอุบลกุล และ ชาติศิริ โสภณพนิช

นารี ตัณฑเสถียร อดีตอัยการสูงสุด, ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ และอโนชา ชีวิตโสภณ อดีตประธานศาลฎีกา

พล.ต.ท.รักษ์จิต หม้อมงคล กรรมการสภาจุฬาฯ พร้อมด้วย 2 ผู้บริหารไทยเบฟ พลภัทร สุวรรณศร และ สุเทพ เจียมประเสริฐ

มุกดา จิราธิวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล และ สุพัตรา จิราธิวัฒน์

Leave a comment