
‘ทภ.2’แจงชัด! ‘ศาลโลก’ไม่เคยตัดสินเส้นเขตแดน-พื้นที่รอบ’ปราสาทพระวิหาร’
วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 11.36 น.
“ทภ.2″แจงชัด! “ศาลโลก”ไม่เคยตัดสินเส้นเขตแดน-พื้นที่รอบ”ปราสาทพระวิหาร” ชี้พื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นช่องว่างคำพิพากษา ซัด”กัมพูชา”ใช้”มรดกโลก”เป็นเครื่องมือการเมือง
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2568 เพจเฟซบุ๊ก “กองทัพภาคที่ 2” โพสต์ข้อความระบุว่า ปฐมเหตุความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาปราสาทพระวิหาร พื้นที่ 4.6 ตร.กม. และดินแดนที่ไทยสูญเสียในอดีต
1. ปฐมเหตุแห่งข้อพิพาท : คดีเขาพระวิหาร
ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา มีจุดเริ่มต้นสำคัญจากกรณี ปราสาทพระวิหาร เมื่อกัมพูชายื่นฟ้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
ฝ่ายไทยในขณะนั้นเข้าร่วมกระบวนการด้วยความเชื่อว่าเป็นศาลแห่งความยุติธรรม แต่ผลลัพธ์กลับสะท้อนความเป็น “ศาลการเมืองระหว่างประเทศ” มากกว่าการพิจารณาตามภูมิประเทศจริง
คำพิพากษา ปี พ.ศ. 2505 มี 3 ประเด็นหลัก
1. ตัวปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา
2. ไทยต้องถอนกำลังออกจากบริเวณตัวปราสาท
3. ไทยต้องคืนโบราณวัตถุที่นำออกไปหลังปี 2497
ข้อสำคัญ: ศาล ไม่เคยตัดสินเส้นเขตแดน และ ไม่เคยระบุพื้นที่รอบปราสาท
2. พื้นที่ 4.6 ตร.กม. : ช่องว่างของคำพิพากษา
คณะรัฐมนตรีไทยในปี 2505 ตีความว่ากัมพูชามีสิทธิ เฉพาะตัวปราสาท ไทยจึงล้อมลวดหนามรอบปราสาทอย่างแคบที่สุด
แต่กัมพูชากลับใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นฐานอ้างสิทธิ ซึ่งหากยึดตามนั้น ไทยจะสูญเสียดินแดนจำนวนมาก รวมถึง
– ภูมะเขือ
– พลาญอินทรี
– ช่องคานม้า
– โบราณสถานตลอดแนวชายแดน
– และผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ในอ่าวไทย
ผลคือการเกิด “พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร”
3. การใช้มรดกโลกเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ปี 2549–2551 กัมพูชาพยายามนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยรวมพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แม้ไทยจะยืนยันให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะ “ตัวปราสาท”
วันที่ 7 กรกฎาคม 2551 UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ครอบคลุมพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แต่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนได้เริ่มปะทุแล้ว
4. ความรุนแรงและการรุกคืบ (2551–2554)
– ต.ค. 2551 – ปะทะบริเวณห้วยตานี–ภูมะเขือ
– เม.ย. 2552 – ภูมะเขือ–ผามออีแดง
– ก.พ. 2554 – สงคราม 4 วัน ใกล้ปราสาทพระวิหาร
– เม.ย.–พ.ค. 2554 – ปราสาทตาควาย–ตาเมือนธม
กัมพูชาดำเนินการ รุกคืบเชิงพื้นที่ อย่างเป็นระบบ
– สร้างชุมชน
– สร้างถนนคอนกรีต
– สร้างวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ
– เชื่อมเส้นทางขึ้นช่องคานม้า–พลาญอินทรี–ตัวปราสาท ทั้งหมดเป็นการ ละเมิด MOU43 อย่างชัดเจน
5. คำพิพากษาตีความ ปี 2556 : ไม่ได้ให้ 4.6 ตร.กม.
กัมพูชายื่นคำร้องให้ ICJ ตีความใหม โดยศาลโลกมีคำตัดสินว่า
– ไม่ยกพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ให้กัมพูชา
– ภูมะเขือไม่เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร
– แต่เห็นว่าไทยล้อมพื้นที่ชิดตัวปราสาท “แคบเกินไป” อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ระบุแนวเขตที่ชัดเจนและโยนภาระให้สองประเทศเจรจาเอง
6. ความจริงเชิงยุทธศาสตร์ในปัจจุบัน
ตลอดมา กัมพูชาใช้ทุกวิธีทั้งการแทรกซึม การตั้งฐานทหาร อ้างการลาดตระเวนร่วม ค่อยๆ ขยายพื้นที่ทีละนิด พื้นที่สำคัญที่ถูกคุกคาม ได้แก่
– พลาญอินทรี
– ช่องคานม้า
– ห้วยตามาเรีย
– ภูมะเขือด้านหน้าผา
– ช่องโดนเอาว์
– พลาญยาว–พลาญหินแปดก้อน
ฐานยิงและอาวุธวิถีโค้งจากฝั่งเขาพระวิหาร ถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อกำลังพลไทย
7. สิทธิในการป้องกันตนเองของไทย
ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไทยมีสิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defense) และ ทำลายภัยคุกคามที่คุกคามกำลังพลและอธิปไตย
เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนคือสถาปนาอำนาจรัฐไทยตามแผนที่ 1:50,000 ปิดช่องคานม้าตัดเส้นทางลำเลียงขึ้นปราสาทจากฝั่งกัมพูชา
นี่ไม่ใช่เพียงเรื่อง “อดีต” แต่คือ สมรภูมิแห่งความทรงจำ อธิปไตย และศักดิ์ศรีของชาติ แผ่นดินที่เสียไปในอดีตไม่ได้แปลว่าเราต้องยอมเสียในปัจจุบัน
ขอเป็นกำลังใจให้ทหารไทยทุกนายที่ยืนอยู่แนวหน้าเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน ประชาชนไทยจำนวนมากพร้อมสู้และยืนอยู่เคียงข้างกันเสมอ เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินนี้
– 006



