สหรัฐฯ เผยเอกสารชุดใหม่ ชี้ทรัมป์เคยนั่งเครื่องบิน “เอปสตีน” 8 เที่ยว

สหรัฐฯ เผยเอกสารชุดใหม่ ชี้ทรัมป์เคยนั่งเครื่องบิน “เอปสตีน” 8 เที่ยว

24 ธ.ค. 2568 03:32 น.

สหรัฐฯ เผยเอกสารชุดใหม่ ชี้ทรัมป์เคยนั่งเครื่องบิน “เอปสตีน” 8 เที่ยว

ทางการสหรัฐฯ เผยเอกสารคดีของนายเจฟฟรีย์ เอปสตีน ชุดใหม่จำนวนนับหมื่นฉบับ รวมถึงอีเมลที่บอกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เคยนั่งเครื่องบินส่วนตัวของอดีตนักการเงินรายนี้ถึง 8 เที่ยว

เมื่อวันอังคารที่ 23 ธ.ค. 2568 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เผยแพร่เอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีของ เจฟฟรีย์ เอปสตีน ผู้ต้องหาคดีล่วงละเมิดทางเพศ เพิ่มเติมอีกหลายพันฉบับ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความล่าช้าในการเผยแพร่และการเซนเซอร์ข้อมูลอย่างหนัก

เอกสารชุดล่าสุดที่ถูกเผยแพร่ลงบนโลกออนไลน์มีจำนวนอย่างน้อย 11,000 ฉบับ ซึ่งรวมถึงวิดีโอและบันทึกเสียงหลายร้อยรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพจากกล้องวงจรปิดในเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งเป็นเดือนที่นายเอปสตีนถูกพบว่าเสียชีวิตในห้องขังระหว่างรอการพิจารณาคดีในข้อหาค้ามนุษย์เพื่อการค้าประเวณี

ภาพที่นายทรัมป์ เคยถ่ายคู่กับ กิสเลน แมกซ์เวลล์ คนสนิทของนายเอปสตีน
ภาพที่นายทรัมป์ เคยถ่ายคู่กับ กิสเลน แมกซ์เวลล์ คนสนิทของนายเอปสตีน

เอกสารที่เผยแพร่ออกมา รวมถึงอีเมลในปี 2544 ที่ส่งโดยบุคคลอักษรย่อ “A” จาก “บัลมอรัล” ถึง กิสเลน แมกซ์เวลล์ คนสนิทของนายเอปสตีน โดยส่งจากที่อยู่อีเมลที่ใช้ชื่อว่า “The Invisible Man” (มนุษย์ล่องหน) ถามแมกซ์เวลล์ว่า “คุณหาเพื่อนใหม่ที่ไม่เหมาะสมให้ฉันได้บ้างไหม?”

“The Invisible Man” เป็นนามปากกาที่เคยปรากฏเชื่อมโยงกับที่อยู่อีเมล 2 แห่งซึ่งหนึ่งในนั้นมีรายชื่ออยู่ในสมุดโทรศัพท์ของนายเอปสตีนภายใต้ชื่อผู้ติดต่อว่า “Duke of York” (ดยุกแห่งยอร์ก)

นอกจากนี้ ยังมีการโต้ตอบทางอีเมลอีกฉบับที่พูดถึง “เด็กผู้หญิง” ในทริปเดินทางไปประเทศเปรู ซึ่งทาง BBC ได้ติดต่อไปยังทีมงานของ แอนดรูว์ เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ (อดีตเจ้าชายแอนดรูว์) เพื่อขอคำชี้แจงแล้ว แต่ยังไม่มีการตอบรับ

เอกสารชุดล่าสุดนี้ ยังรวมถึงวิดีโอปลอมที่อ้างว่าแสดงภาพ เจฟฟรีย์ เอปสตีน ภายในห้องขังที่นิวยอร์กในวันที่เขาเสียชีวิต กับอีเมลที่ระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เคยเป็นผู้โดยสารบนเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเอปสตีนจำนวน 8 เที่ยว ระหว่างปี 2536 ถึง 2539

จดหมายจากเอปสตีนที่ส่งถึง แลร์รี นาสซาร์ นักโทษประหารคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงหลายร้อยคน และมีการอ้างถึง โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างกว้างๆ
จดหมายจากเอปสตีนที่ส่งถึง แลร์รี นาสซาร์ นักโทษประหารคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงหลายร้อยคน และมีการอ้างถึง โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างกว้างๆ

อนึ่ง กฎหมายความโปร่งใสในแฟ้มข้อมูลเอปสตีน (EFTA) ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสอย่างเป็นเอกฉันท์และลงนามโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำหนดให้มีการเปิดเผยแฟ้มข้อมูลเอปสตีนทั้งหมดภายในวันศุกร์ของสัปดาห์ก่อน

นายทอดด์ บลานช์ รองอัยการสูงสุดอ้างว่าความล่าช้าเกิดจากความจำเป็นในการเซนเซอร์ตัวตนของเหยื่อของนายเอปสตีนมากกว่า 1,000 ราย ออกจากเอกสารและรูปภาพหลายแสนฉบับที่อยู่ในความครอบครองของรัฐบาล และยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ปกปิดข้อมูลในเอกสารต่างๆ เพื่อปกป้องโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกับนายเอปสตีน

ทางด้าน นายโร คันนา จากพรรคเดโมแครต และ นายโธมัส แมสซี จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นผู้ร่วมเสนอกฎหมาย EFTA ได้ออกมาขู่เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่าจะดำเนินการตั้งข้อหาดูหมิ่นสภาคองเกรสต่อ อัยการสูงสุด แพม บอนดี เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

ขณะที่ นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต ได้เสนอญัตติเมื่อวันจันทร์เพื่อให้มีการดำเนินคดีทางกฎหมายต่อรัฐบาลของทรัมป์ ข้อหาล้มเหลวในการเปิดเผยแฟ้มข้อมูลเอปสตีนฉบับสมบูรณ์

“แทนที่จะสร้างความโปร่งใส รัฐบาลของทรัมป์กลับเผยแพร่ไฟล์เพียงเศษเสี้ยวเดียว และปิดทับข้อมูลส่วนใหญ่ในเอกสารอันน้อยนิดที่พวกเขามอบให้” นายชูเมอร์ระบุในแถลงการณ์

ทั้งนี้ การเซนเซอร์ข้อมูลอย่างกว้างขวางในเอกสารหลายฉบับ ประกอบกับการควบคุมการเปิดเผยข้อมูลอย่างเข้มงวดโดยเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของทรัมป์ ได้กระตุ้นให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า การเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้จะสามารถสยบทฤษฎีสมคบคิดเรื่องการปกปิดข้อมูลในระดับสูงได้จริงหรือไม่

ชุดเอกสารที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ประกอบด้วยรูปภาพของอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน จากพรรคเดโมแครต และบุคคลที่มีชื่อเสียงรายอื่นๆ เช่น ป๊อปสตาร์อย่าง มิก แจ็กเกอร์ (Mick Jagger) และ ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) ซึ่งต่างอยู่ในวงสังคมของเอปสตีน

ทางด้านคลินตันได้ออกแถลงการณ์ผ่านทางโฆษก แองเจิล อูเรนา (Angel Urena) โดยเรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรมเปิดเผยเอกสารใดๆ ก็ตามในแฟ้มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอดีตประธานาธิบดี พร้อมระบุว่าเขาไม่มีอะไรต้องปิดบัง

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : cna , bbc

Leave a comment