
‘จตุพร’ชี้เลือกตั้งแข่งกันสับปลับ ขุด 3 ปัจจัยซัดกันน่วม ‘ปชน.-พท.-ภท.’ชิงตั้งรบ.กลับกลอก
วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 09.50 น.
‘จตุพร’ชี้‘เลือกตั้ง’แข่งกันสับปลับ แล้วอ้างจำเป็นกอดคอตั้งรัฐบาล คาดพรรคใหญ่ปล่อยของซัดกันนัว ระบุ 3 ปัจจัยทั้ง‘สงคราม-เงินเทาสแกมเมอร์-ขุดดิจิทัลฟุตพริ้นท์’ซ้ำเติมพูดแล้วลืมทำ ฟาดกันน่วม ชี้‘ปชน.-พท.-ภท.’กวาดเสียง แย่งชิง‘พรรคกลาง-เล็ก’ตั้งรัฐบาลกลับกลอก
26 ธันวาคม 2568 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อคืนวันที่ 25 ธ.ค.68 โดยประเมินการเลือกตั้ง 2569 ว่า พรรคการเมืองจะหาเสียงช่วงชิงความนิยมกันดุเดือดกับสงครามไทย-กัมพูชา และเครือข่ายเงินเทาสแกมเมอร์ พร้อมขุดดิจิทัลฟุตพริ้นท์มาซ้ำเติมพรรคตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว ไม่ทำตามสัญญาหาเสียงกับประชาชน
“การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองจะแข่งขันกันหนักไม่เอาพรรคเทาหรือพรรคที่พัวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์ แล้วจะลามไปถึงแต่ละพื้นที่แข่งขันกันดุเดือด ขุดดิจิทัลฟุตพริ้นท์มาทำลายความน่าเชื่อถือ เช่น รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทำทันที เป็นต้น ดังนั้นหลังเลือกตั้งแทบจะหาพรรคการเมืองจับมือกันตั้งรัฐบาลกันยากมาก”
นายจตุพร กล่าวว่า การแข่งขันหาเสียงของพรรคการเมืองได้วนกลับมายืนยันจุดยืนแต่เนินๆ เหมือนเมื่อเลือกตั้ง 2566 โดยแต่ละพรรคเริ่มประกาศไม่จับมือกับบางพรรค แต่หลังเลือกตั้งแล้ว อาจย้อนไปสู่การแสดงพฤติกรรมสวมกอดจับมือยินดีร่วมตั้งรัฐบาลด้วยกัน พร้อมๆ กับข้ออ้างบอกกล่าวความจำเป็นมากมายต่อประชาชน
กรณีพรรคประชาธิปัตย์ประกาศไม่จับมือกับพรรคกล้าธรรมนั้น ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะนำพรรคให้เติบโตแล้ว จำเป็นต้องนำพรรคมาเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นจุดเด่นของประชาธิปัตย์ และเพื่อใช้เวลาสร้างความนิยมรอการเลือกตั้งครั้งถัดไป หากในสถานการณ์พรรคตกต่ำยังเลือกเดินบนทางเป็นรัฐบาลละเลยจุดยืนต่อต้านเครือข่ายเงินเทาแล้ว พรรคยิ่งจะตกต่ำไปอีก
ขณะที่พรรคประชาชนประกาศไม่จับมือกับกล้าธรรมก็เช่นกัน เพราะส่วนหนึ่งหวังตรึงเสียง กทม. ไม่ให้ประชาธิปัตย์เบียดแทรกแย่งชิงเสียงกลับไป และยังตอกย้ำจุดยืนวิจารณ์กล้าธรรมอย่างสาดเสียเทเสียมาตลอด
นอกจากนี้ พรรคประชาชนกับภูมิใจไทยที่ไม่จับมือร่วมตั้งรัฐบาล ด้วยภูมิใจไทยอ้างติดขัดปัญหาแก้ไข ม.112 ส่วนพรรคประชาชนเจ็บช้ำจากถูกภูมิใจไทยหักหลังการแก้ รธน. จึงประกาศจุดยืนเจ็บแล้วจำและจะไม่ให้ถูกหลอกซ้ำสอง
ส่วนพรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มจะถูกถล่มด้วยคลิปเสียงอังเคิลกับผลงานที่ผ่านมาและพฤติกรรมตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาชนกับเพื่อไทยจะแข่งขันกันดุเดือดและซัดกันรุนแรงด้วยอาวุธทุกชนิด แล้วที่สุดเสียงเลือกตั้งจะแบ่งออกเป็น 3 ก้อนเหมือนเดิม คือ ภูมิใจไทย ประชาชน และเพื่อไทย
นายจตุพร กล่าวว่า แม้พรรคการเมืองประกาศจุดยืนและให้คำมั่นสัญญา แล้วฉีก MOU และ MOA ยิ่งจะทำให้ไม่น่าเชื่อถือกันต่อไป แต่อย่าประมาทสายพันธุ์นักการเมืองไทย เพราะถึงที่สุดแล้วอะไรไม่คาดคิดไว้ ก็จะเกิดขึ้นมาอีก
นายจตุพร ระบุว่า สิ่งสำคัญ พรรคการเมืองต้องรู้ว่า แม้ประชาชนต้องการความชัดเจนในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่หลังเลือกตั้งอาจจะได้เห็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติมาเป็นเหตุผลกับประชาชน ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ภาษาการเมืองลิ้นสองหรือสามแฉกแบบการพูดสับปลับ กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ถึงที่สุดแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้จะดุเดือดมากในท่ามกลางอารมณ์ของสงคราม ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องลุ้นชะตาของตัวเองที่ศาลรับฟ้องยื้อเวลาพิจารณาฮั้ว สว. ส่วนนักการเมืองก็ลุ้นวันเลือกตั้งจะถูกขยายออกไปอีก 30 วันหรือไม่ เพราะจะมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งพรรคขนาดเล็กจะเหนื่อยและลำบากมากกับการหาเสียง
“ขณะนี้สถานการณ์ของบ้านเมืองละเอียดอ่อนมาก กกต. ถ้าจะตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ควรตัดสินใจในเวลาที่คนตั้งหลักกันได้ ถ้า (พรรคการเมือง) เดินไปเต็มที่แล้วเป็นการเลือกตั้งเป็นโมฆะทุกอย่างก็สูญเปล่า พรรคการเมืองและประชาชนก็เสียประโยชน์ นอกจากนี้ กรณี 44 สส.พรรคประชาชนที่ ปปช. เลื่อนการพิจารณาข้อหาแก้ ม. 112 ออกไปนั้น จะไม่เกิดผลดีกับประชาชน ซึ่งไม่ควรเลื่อน แต่ต้องพิจารณาให้ชัดเจน ถ้าไม่รอดพรรคก็ได้เปลี่ยนคน หรือรอดจะได้ทุ่มหาเสียงให้เต็มที่ และจะเกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่ายได้สิ้นสงสัยกันไป” นายจตุพร กล่าว
ส่วนสงครามไทย-กัมพูชานั้น นายจตุพร คาดว่าจะยืดเยื้อเพราะต้นเหตุมาจากการเจรจาหยุดยิงรอบแรกเมื่อ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ดังนั้น สงครามจะกระทบต่อการเลือกตั้งหรือไม่ ต้องพิจารณากันเป็นตอนๆ ไป ว่า จะจบก่อนเลือกตั้ง หรือสงครามจบหลังเลือกตั้ง แต่ประเมินว่า ก่อนสิ้นปี 2568 คงจบยาก
“ทุกสถานการณ์อะไรก็เกิดขึ้นมาได้ ทั้งสงครามระหว่างประเทศ สงครามข่าวสาร การปฏิบัติการไอโอสร้างความเชื่อให้คนของตัวเอง แล้วเสี้ยมทิมแทงอีกฝ่ายให้เสียหาย ดังนั้นการประเมินสถานการณ์ไว้สูงจะรับมือได้ง่ายกว่าการประเมินต่ำ” นายจตุพร กล่าว