ปราชญ์ สามสี ชี้ชัด นี่คือ สงครามสัญลักษณ์ ไม่ใช่การทำลายศาสนา

ปราชญ์ สามสี ชี้ชัด นี่คือ สงครามสัญลักษณ์ ไม่ใช่การทำลายศาสนา

ปราชญ์ สามสี ชี้ชัด นี่คือ สงครามสัญลักษณ์ ไม่ใช่การทำลายศาสนา

วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.08 น.

วันที่ 25 ธันวาคม 2568 จากกรณี การทหารได้มรการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีลักษณะคล้ายประติมากรรมทางศาสนา ในพื้นที่ใกล้แนวชายแดนไทย–กัมพูชา จนก่อให้เกิดความห่วงกังวลและการตีความที่หลากหลายในสังคมนั้น

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก “ปราชญ์ สามสี” โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า  ในฐานะคนที่คลุกคลีกับงานด้านประวัติศาสตร์และการศึกษารัฐในภูมิภาคนี้มาระยะหนึ่ง ผมคิดว่ากรณีการทุบหรือรื้อถอนตราสัญลักษณ์ที่อ้างอิงพระวิษณุ ควรถูกอธิบายด้วยกรอบความเข้าใจทางประวัติศาสตร์และการเมืองของรัฐ มากกว่าการมองด้วยความรู้สึกทางศาสนาเพียงอย่างเดียว

กัมพูชาสมัยใหม่สร้างอัตลักษณ์ของรัฐขึ้นมาบนฐานของ “ความเป็นขอม” อย่างชัดเจน ทั้งในเชิงภาษา ระบบอักษร ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักร และสัญลักษณ์ของรัฐ การนำตนเองไปเชื่อมโยงกับอารยธรรมขอมโบราณ เป็นกระบวนการที่รัฐจำนวนมากในโลกหลังอาณานิคมเลือกใช้ เพื่อสร้างความต่อเนื่องและความชอบธรรมของตนเองในเชิงประวัติศาสตร์

ในกระบวนการนี้ เทพเจ้าในคติพราหมณ์–ฮินดู โดยเฉพาะพระวิษณุ ซึ่งในศิลปะขอมมีนัยของ “ผู้พิทักษ์ ผู้ค้ำจุนโลก” จึงถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของรัฐ พิธีกรรม และหน่วยงานราชการ รวมถึงหน่วยงานทางทหาร การใช้สัญลักษณ์ลักษณะนี้ ไม่ได้มีสถานะเป็นเทวรูปเพื่อการสักการะทางศาสนาโดยตรง แต่เป็นการใช้ภาพแทนเชิงอุดมการณ์ เพื่อสื่อถึงอำนาจรัฐ ความมั่นคง และบทบาทของสถาบันต่าง ๆ

ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในกัมพูชา หากมองกลับมาที่ประเทศไทยเอง เราก็ใช้เทพ เทวดา และคติจักรวาลแบบพราหมณ์–พุทธเป็นสัญลักษณ์ของรัฐมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตราแผ่นดิน ตราหน่วยราชการ และสัญลักษณ์ของกองทัพ สิ่งเหล่านี้โดยทั่วไปไม่ได้ถูกมองว่าเป็นศาสนวัตถุ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของภาษาสัญลักษณ์ทางการเมืองและการปกครอง

ดังนั้น เมื่อสัญลักษณ์ที่อ้างอิงพระวิษณุถูกนำไปใช้เป็นตราหรือโครงสร้างของหน่วยงานทางทหาร สถานะของมันย่อมเปลี่ยนไป จากภาพแทนทางคติความเชื่อ มาเป็นเครื่องหมายของรัฐและกำลังทหาร ในบริบทของความขัดแย้งหรือการปฏิบัติการทางทหาร การถอดถอนหรือทำลายตราสัญลักษณ์ดังกล่าว จึงควรถูกทำความเข้าใจว่าเป็นการกระทำต่อสัญลักษณ์ของหน่วยงานฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่การทำลายศาสนสถานหรือการลบหลู่ศรัทธาทางศาสนา

ความสับสนที่เกิดขึ้นในทางการรับรู้ ส่วนหนึ่งมาจากการนำสัญลักษณ์ที่มีรากทางศาสนาไปใช้ในบริบททางทหาร แต่เมื่อสัญลักษณ์นั้นถูกทำลาย กลับดึงความหมายทางศาสนากลับมาใช้ในการอธิบายหรือประณาม ซึ่งในเชิงประวัติศาสตร์และการเมืองของรัฐแล้ว เป็นการปะปนบริบทสองระดับเข้าด้วยกัน

การทำความเข้าใจกรณีนี้อย่างรอบด้าน จึงอาจต้องเริ่มจากการแยกให้ออกระหว่าง “สัญลักษณ์ทางศาสนา” กับ “สัญลักษณ์ของรัฐและหน่วยงาน” เมื่อสัญลักษณ์ใดถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจรัฐแล้ว การกระทำต่อสัญลักษณ์นั้นย่อมต้องถูกอ่านในกรอบของการเมืองและความมั่นคง มากกว่าการตีความในเชิงศาสนาเพียงด้านเดียว

Leave a comment