‘เทพมนตรี’ร่อนจดหมายถึง‘นายกฯ’ แนะ 6 ขั้นตอนทวงคืน‘ปราสาทเขาพระวิหาร’

‘เทพมนตรี’ร่อนจดหมายถึง‘นายกฯ’ แนะ 6 ขั้นตอนทวงคืน‘ปราสาทเขาพระวิหาร’

‘เทพมนตรี’ร่อนจดหมายถึง‘นายกฯ’ แนะ 6 ขั้นตอนทวงคืน‘ปราสาทเขาพระวิหาร’

วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 11.24 น.

‘เทพมนตรี’ร่อนจดหมายถึง‘นายกฯ’ แนะ 6 ขั้นตอนทวงคืน‘ปราสาทเขาพระวิหาร’

26 ธันวาคม 2568 นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ “จดหมายเปิดผนึก” เรื่อง “ขอคืนปราสาทพระวิหารและใช้ข้อสงวนสิทธิ์” ระบุว่า…

จดหมายเปิดผนึก

เรื่อง ขอคืนปราสาทพระวิหารและใช้ข้อสงวนสิทธิ์

เรียน ฯพณฯท่านนายกรัฐมนตรี

กระผมมีข้อเสนอในเรื่องการขอคืนปราสาทพระวิหารดังนี้

วิธีการใช้ข้อสงวนสิทธิ์ ฉบับวันที่ 6 กรกฎาคม 2505 และแนะนำ ปราสาทพระวิหารคืนประเทศไทยโดยแจ้งสหประชาชาติว่าไทยมีหลักฐานใหม่ทางกฎหมายและการอ้างอิงสันปันน้ำที่ขอบหน้าผาของฝ่ายกัมพูชาผ่านแผนบริหารการจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหาร รวมถึงการกำหนดเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปีค.ศ. 1904 ให้ใช้สันปันน้ำ ซึ่งปัจจุบันทางการกัมพูชาได้ยอมรับว่าสันปันน้ำบริเวณประสาทพระวิหารอยู่ที่ขอบหน้าผานั่นเอง โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. ใช้กำลังทหารยึดคืนปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทั้งหมด ตาม อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปีค.ศ. 1904 

2. รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรี สั่งการกระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติแจ้งว่าไทยในฐานะประเทศสมาชิกขอใช้ข้อสงวนสิทธิ์ที่เคยตั้งเอาไว้และไม่ยอมรับคำพิพากษาคดีประสาทพระวิหารโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตัดสินคดีไม่ยุติธรรมและขัดแย้งกับสนธิสัญญารวมถึงสภาพความจริงทางภูมิศาสตร์ในคดี

3. รัฐบาลตั้งทีมในการเจรจาใช้ข้อสงวนสิทธิ์และแจ้งไปยังเลขาธิการสหประชาชาติอ้างอิงหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์และหลักฐานในปัจจุบันของฝ่ายกัมพูชาที่ยอมรับว่าสันปันน้ำบริเวณ ปราสาทพระวิหาร อยู่ที่ขอบหน้าผา  ตามแผนบริหารจัดการที่ยื่นต่อคณะกรรมการมรดกโลกและการสำรวจภูมิประเทศโดยเทคโนโลยีไลด้า

4. คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปีค.ศ. 1962 และปีค.ศ. 2003 มุ่งไปยังประเด็นการให้อำนาจอธิปไตยกับประเทศกัมพูชาและไทยถอนกำลังยามรักษาการตำรวจและทหารออกจาก อาณาบริเวณรอบประสาท ดังนั้นเมื่อประเทศไทยมีหลักฐานใหม่และยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเส้นเขตแดนที่ปรากฏตามข้อบทในสนธิสัญญาปีค.ศ. 1904 ใช้สันปันน้ำ คณะกรรมการปักปันเขตแดนได้กำหนดเอาไว้ให้อยู่ที่ขอบหน้าผาซึ่งมีระดับความสูงกว่า 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลเป็นจุดที่สูงที่สุด ปราสาทพระวิหารจึงเป็นของราชอาณาจักรไทย และราชอาณาจักรไทยขอคืนสภาพการใช้อำนาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์และมีสิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ที่จะตั้งยามรักษาการตำรวจและทหารดูแลรักษา พระราชอาณาเขต โดยที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมิได้ตัดสินเรื่องเขตแดนหรือเส้นเขตแดนหรือแม้กระทั่งแผนที่ที่ถูกอ้างอิงว่าเป็นแผนที่อันเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามอินโดจีนฝรั่งเศสตามอนุสัญญาปีค.ศ. 1904

กัมพูชาอาศัยความเข้าใจผิดในคำพิพากษาให้เป็นคุณกับ ฝ่ายตนเองโดยการประกาศพระราชกฤษฎีกาพื้นที่ประกาศพระวิหารเมื่อปีพ.ศ.2550 ซึ่งไทยได้ประท้วงไว้แล้วถึงสองครั้ง  และได้แจ้งไปยังราชเลขาธิการ ตามหนังสือที่กต. 0803 / 453 ลงวันที่ 20 มิถุนา 2551

ประเทศไทยจึงมีสิทธิ อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารและดินแดนทั้งหมดบนเทือกเขาพนมดงรัก

5. รัฐบาลต้องสั่งการไปยังกองทัพภาค2 ให้ตั้งฐานทัพบนตัวประสาทพระวิหารและแจ้งไปยังคณะกรรมการมรดกโลก และศูนย์มรดกโลกที่ปารีสว่าการกระทำของกัมพูชาที่ใช้ปราสาทพระวิหารสะสมยุทโธปกรณ์กำลังทหารและรุกล้ำดินแดนประเทศภาคีสมาชิกอย่างประเทศไทย ขอให้คณะกรรมการมรดกโลกมีคำวินิจฉัยอย่างเร่งด่วนในการยกเลิกทะเบียนมรดกโลกประสาทพระวิหารออกจากบัญชีโดยอาจจะขึ้นเป็นมรดกโลกอันตรายเอาไว้ก่อนก็ได้

6. รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศแจ้งไปยังรัฐบาลกัมพูชาว่าประเทศไทยไม่ประสงค์ที่จะให้กัมพูชาได้ใช้อำนาจอธิปไตยเหนือประสาทพระวิหารอีกต่อไปทั้งปัจจุบันและอนาคต ทั้งชาตินี้และชาติหน้า

ขอแสดงความนับถือ

นายเทพมนตรี ลิมปพยอม

25 ธันวาคม 2568

Leave a comment