กองทัพ เปิดเหตุผลไม่รบต่อ ยันบรรลุเป้าหมายทางทหารแล้ว ชี้ หยุดยิง ไม่ใช่จุดจบเป็นจุดเริ่ม

กองทัพ เปิดเหตุผลไม่รบต่อ ยันบรรลุเป้าหมายทางทหารแล้ว ชี้ หยุดยิง ไม่ใช่จุดจบเป็นจุดเริ่ม

กองทัพ เปิดเหตุผลไม่รบต่อ ยันบรรลุเป้าหมายทางทหารแล้ว ชี้ หยุดยิง ไม่ใช่จุดจบเป็นจุดเริ่ม

วันเสาร์ ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.16 น.

กองทัพ เปิดเหตุผลไม่รบต่อ ไม่รบต่อ เหตุไทยบรรลุเป้าหมายทางทหาร  ชี้หยุดยิง ไม่ใช่จุดจบเป็นจุดเริ่ม 

วันที่ 27 ธันวาคม 2568 ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้สรุปหลังประชุม GBC สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3/2568  ที่โรงแรมชาเทรียม รีสอร์ท อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ใจความสำคัญสรุปผลสำคัญของการประชุมวันนี้ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องมาตรการสำคัญเพื่อให้เกิดความสงบอย่างแท้จริง ได้แก่ การให้หยุดยิงมีผลหลังลงนามแถลงการณ์ร่วม ในการคงกำลังในระดับปัจจุบัน ไม่ยั่วยุ ไม่โจมตี และติดตามเฝ้าสังเกตการณ์ 72 ชั่วโมงรวมถึงการมีกลไกตรวจสอบ และประสานงานในระดับพื้นที่และระดับนโยบาย เพื่อให้การหยุดยิงเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง

ส่วนเหตุใดต้องกำหนด “หยุดยิง 72 ชั่วโมง”นั้นเพื่อยืนยันว่า “หยุดยิงเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง” ไม่ใช่เพียงถ้อยแถลง โดยช่วง 72 ชั่วโมงเป็นกรอบเฝ้าติดตามร่วมกัน ลดความเสี่ยงความเข้าใจผิดและเหตุปะทะซ้ำ และช่วยสร้างเงื่อนไขให้ประชาชนกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย 

หากมีการยิงหรือยั่วยุในช่วง 72 ชั่วโมง ไทยจะทำอย่างไร ไทยจะดำเนินการตามกฎการปะทะและมาตรการที่เหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน พร้อมใช้กลไกสื่อสารโดยตรงที่จัดตั้งไว้เพื่อแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วลดการบานปลาย

สำหรับการ “คงกำลังในระดับปัจจุบันทั้งสองฝ่ายจะไม่เคลื่อนย้ายหรือเสริมกำลังเข้าหากันในลักษณะที่เพิ่มความตึงเครียด และไม่ดำเนินการใด ๆ ที่อาจถูกตีความว่าเป็นการยั่วยุ เพื่อรักษาบรรยากาศหยุดยิงให้มั่นคง กล่าวโดยสรุปคือเมื่อเริ่มหยุดยิง กำลังฝ่ายใดอยู่ ณ บริเวณใดก็ให้คงอยู่ ณ บริเวณนั้นไปก่อนจนกว่ากระบวนการสำรวจและจัดทำหลักเขตจะแล้วเสร็จ

ในขณะที่การสำรวจและจัดทำหลักเขต เริ่มต้นกระบวนการอันดับแรกคณะทำงานร่วมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (JTCF) จะหารือร่วมกันและดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด

ตามแผนที่กำหนดเพื่อทำให้พื้นที่มีความปลอดภัยก่อน หลังจากนั้นคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม(JBC) จะมอบให้คณะทำงานสำรวจทางเทคนิคร่วมของทั้ง 2 ประเทศ จะลงพื้นที่ร่วมกัน เพื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตต่อไป 

ทั่งนี้จะมีกลไกตรวจสอบการหยุดยิงหลายระดับเพื่อให้ “ปฏิบัติได้จริงและตรวจสอบได้” ได้แก่ คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) สำนักงานประสานงานชายแดนในระดับพื้นที่และในระดับนโยบายมีสายด่วนระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองฝ่าย เพื่อสื่อสารได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ

ไทยยืนยันว่าต้อง “เจรจาโดยตรง” ระหว่างสองประเทศสามารถสร้างความไว้วางใจ แก้ปัญหาได้ตรงจุด และออกแบบกลไกปฏิบัติที่สอดคล้องกับสถานการณ์พื้นที่จริง นำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนได้มากที่สุดกรณีที่ไทยย้ำเรื่อง “ทุ่นระเบิด” เป็นเงื่อนไขสำคัญเพราะเป็นประเด็นมนุษยธรรมและความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่ ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด
วันนี้ทั้งสองฝ่ายจึงเห็นพ้องให้มีกลไกทำงานร่วมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมอย่างเป็นระบบ ปลอดภัย และโปร่งใส
และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนขั้นตอนสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในระยะต่อไป พร้อมย้ำว่าสาเหตุ เปิดเหตุผลไม่รบต่อไทยไทย ไม่รบต่อ เพราะการรบของไทยและกัมพูชาที่ผ่านมา ได้เกิดขึ้นสองครั้งแล้ว ครั้งที่หนึ่งเป็นเวลา 5 วัน ในห้วง 24 – 28 ก.ค. 68 และครั้งที่สอง เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.68 จนถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 20 วันแล้ว ซึ่งผลของการปฏิบัติทางทหารจนถึงปัจจุบัน ถือว่าฝ่ายเราบรรลุเป้าหมายทางทหารแล้ว

โดยสามารถควบคุมภูมิประเทศ สำคัญในพื้นที่เขตอธิปไตยที่มีผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนไว้ได้แล้วและหากเราทำการรบต่อไป ความชอบธรรมของไทยในเวทีโลกก็จะเริ่มลดลง นอกจากนี้ เราอาจต้องสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ของทหารเพิ่มขึ้นอีก ส่วนเรื่องการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย จะพิจารณาหลังการหยุดยิงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสงบลงแล้วตามกรอบเฝ้าสังเกตการณ์ เพื่อแสดงความสุจริตใจ สร้างความเชื่อมั่น และเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม พร้อมมั่นใจว่าครั้งนี้จะไม่ซ้ำรอยเดิม เหตุเราได้กำหนดมาตรการที่ชัดเจนขึ้น ทั้งเวลาเริ่มหยุดยิงที่ผูกกับการลงนาม การคงกำลังระดับปัจจุบัน 

การเฝ้าติดตาม 72 ชั่วโมง และการสื่อสารโดยตรงผ่านสายด่วน รวมถึงกลไกประสานในพื้นที่ ซึ่งช่วยให้ตรวจสอบได้และแก้เหตุได้รวดเร็วสำหรับประชาชนชายแดนจะกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย เมื่อการหยุดยิงเกิดขึ้นจริงต่อเนื่องและสถานการณ์สงบลง ตามการประเมินของหน่วยงานในพื้นที่ เราจะเร่งสนับสนุนการกลับเข้าพื้นที่อย่างเป็นขั้นตอนและปลอดภัยที่สุด ยกเว้นในบางพื้นที่ ที่แต่ละฝ่ายยังคงวางกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ เช่น บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านคลองแผง ซึ่งจะต้องมีการประเมินสถานการณ์กันอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง

ทั้งนี้ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ได้กำหนดให้ทีมสื่อสารของทั้งสองประเทศทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันข่าวบิดเบือนและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน 

โดยยึดหลักยืนยันข้อเท็จจริงก่อนสื่อสาร และชี้แจงอย่างสุภาพ โปร่งใส ไม่ยั่วยุยืนยันประเทศไทยยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก และดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยความรอบคอบ บนหลักมนุษยธรรมและกติกาสากล โดยมุ่งแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาโดยตรง เพื่อสันติภาพที่ยั่งยืน โดยหลังการลงนาม ไทยยังยืนยันจุดยืนแนวทางทั้ง 3 ประการอย่างครบถ้วนและต่อเนื่องการลงนามมิใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ

การพิสูจน์ความจริงใจในการปฏิบัติ โดยไทยจะดำเนินการบนหลักการเดียวกับที่ได้สื่อสารต่อประชาคมโลกมาโดยตลอด และไทยต้องการสันติภาพที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ไม่ใช่เพียงคำประกาศทางการเมืองหลังวันลงนาม ไทยจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่า ความรุนแรงลดลงจริง ประชาชนสามารถกลับสู่ความปลอดภัย และบรรยากาศเอื้อต่อการแก้ปัญหาในระยะยาวส่วนเรื่อง “ความจริงใจของกัมพูชา” สะท้อนผ่านการกระทำ ไม่ใช่คำพูดเพียงอย่างเดียว การประเมินจะยึด 3 เงื่อนไขหลัก ได้แก่การประกาศหยุดยิงอย่างเป็นทางการ การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่องในพื้นที่ ความร่วมมืออย่างจริงใจในกลไกที่ตกลงร่วมกัน โดยเฉพาะด้านมนุษยธรรม หากเงื่อนไขเหล่านี้เกิดขึ้นจริง จะเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อกระบวนการสันติภาพ

ทั่งนี้การหยุดยิงต้องอิงการประเมินของทหาร” หมายความว่าต้องตั้งอยู่บน ข้อเท็จจริงในพื้นที่จริง ไม่ใช่แรงกดดันทางการเมืองหรือการสื่อสารจากภายนอก กองทัพไทยจะประเมินสถานการณ์อย่างเป็นมืออาชีพเพื่อให้มั่นใจว่า การหยุดยิงไม่ทำให้ประชาชนหรือกำลังพลตกอยู่ในความเสี่ยง

หากเกิดการละเมิดข้อตกลงหลังวันลงนาม ไทยจะดำเนินการอย่างไรนั้นไทยจะใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ เป็นฐานในการดำเนินการทั้งในระดับทวิภาคีและการสื่อสารต่อประชาคมโลกขณะเดียวกัน กองทัพไทยยังคงมีหน้าที่และสิทธิในการป้องกันตนเองเพื่อคุ้มครองอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน

ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศข้อความหลักที่ไทยอยากสื่อถึงนานาชาติหลังวันลงนามคืออะไรนั้นประเทศไทยเปิดทางสันติภาพอย่างจริงใจ แต่จะไม่ลดทอนความรับผิดชอบในการปกป้องประชาชนและประเทศชาติไทยเชื่อว่าสันติภาพที่ยั่งยืนต้องเกิดจาก ความจริงใจ การปฏิบัติจริง และความรับผิดชอบร่วมกัน

Leave a comment