ถอยแก้112 …ซ่อนคมดาบ! วิธีคิดอันตรายใต้ผ้าคลุมสีส้ม

ถอยแก้112 ...ซ่อนคมดาบ!  วิธีคิดอันตรายใต้ผ้าคลุมสีส้ม

ถอยแก้112 …ซ่อนคมดาบ! วิธีคิดอันตรายใต้ผ้าคลุมสีส้ม

วันเสาร์ ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 14.35 น.

ถอยแก้112 …ซ่อนคมดาบ! วิธีคิดอันตรายใต้ผ้าคลุมสีส้ม


ในช่วงดีเบตก่อนการเลือกตั้ง
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคประชาชน
ยกมือคนเดียวเพื่อยืนยันจุดยืนของตัวเองว่า
“ไม่ควรมีใครติดคุกเพราะคำพูด”

ประโยคนี้ไม่ได้เกิดจากความเผลอ
และไม่ได้เป็นถ้อยคำชวนถกแบบผิวเผิน
แต่เป็นการแสดงท่าทีทางการเมืองอย่างชัดเจน
ต่อหน้าสังคมทั้งประเทศ

สำหรับกลุ่มที่ต้องการแก้ไขมาตรา 112
คำพูดนี้ถูกยกย่องว่าเป็นความกล้า
เป็นการยืนข้างเสรีภาพ
และเป็นสัญญาณว่าการเปลี่ยนแปลงยังไม่จบ

แต่เมื่อมองให้ลึกลงไป
ประโยคเดียวกันนี้
กำลังเปิดประตูไปสู่วิธีคิดที่อันตราย
เพราะเสรีภาพไม่เคยอยู่ลอย ๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบ

ถ้าสังคมยอมรับว่า
คำพูดไม่ควรนำไปสู่โทษทางกฎหมายไม่ว่ากรณีใด
คำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ
กฎหมายยังจำเป็นอยู่หรือไม่

แม้แต่การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา
ก็ยังมีโทษทั้งปรับและจำคุก
ทั้งที่เป็นเรื่องระหว่างประชาชนกับประชาชน

แล้วประมุขของรัฐ
ซึ่งเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของประเทศ
และไม่สามารถออกมาตอบโต้ทางการเมืองได้
ควรได้รับความคุ้มครองน้อยกว่าคนทั่วไปจริงหรือ

หลายประเทศประชาธิปไตยตอบคำถามนี้ชัดเจน
เบลเยียม เดนมาร์ก เยอรมนี โปแลนด์ อิตาลี
ล้วนมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของรัฐ
บางประเทศกำหนดโทษจำคุกหลายปี

ไม่ใช่เพราะประเทศเหล่านั้นไม่รักเสรีภาพ
แต่เพราะเข้าใจว่า
เสรีภาพต้องยืนอยู่บนฐานความรับผิดชอบ

พรรคประชาชนมักย้ำว่า
พรรคไม่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112
ในเชิงเอกสาร นี่คือความจริง
ไม่มีการเขียนไว้เป็นนโยบายเลือกตั้ง

แต่ในทางการเมือง
แกนนำพรรคจำนวนหนึ่งแสดงออกต่อเนื่อง
ว่ากฎหมายนี้คือปัญหา
และควรถูกเปลี่ยนแปลงในวันหนึ่ง

ณัฐพงษ์เองก็เคยพูดชัด
ว่าหากสังคมตกผลึกร่วมกัน
การแก้ไขก็อาจเกิดขึ้นได้
สะท้อนว่าประตูเรื่องนี้ไม่เคยปิด

ขณะเดียวกัน
แนวคิดนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง
ก็ถูกผลักดันอย่างจริงจัง
ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าจะพาดผ่านคดีมาตรา 112
ไม่ว่าถ้อยคำจะถูกเลือกใช้อย่างระมัดระวังเพียงใด

ประเด็นสำคัญจึงไม่ใช่ตัวบทกฎหมาย
แต่คือเจตนาในการใช้คำพูด
ว่าพูดเพื่อวิพากษ์อย่างสุจริต หรือพูดเพื่อโจมตี ลดทอน และทำลาย

การพูดว่า
ไม่ควรมีใครติดคุกเพราะคำพูด
คือการตัดความรับผิดชอบออกจากเสรีภาพ
และทำให้การใช้ถ้อยคำรุนแรง
ถูกทำให้ดูเป็นเรื่องเล็ก

หากแนวคิดนี้กลายเป็นหลักคิดของผู้นำประเทศ
ผลกระทบจะไม่หยุดอยู่แค่ความเห็นต่าง
แต่จะลุกลามไปถึงความศรัทธาต่อกฎหมาย
และความมั่นคงของสังคมโดยรวม

ผู้คนจะเริ่มตั้งคำถามว่า
กฎหมายยังศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือไม่
และเส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพกับการละเมิด
ยังเหลืออยู่แค่ไหน

แม้แต่สหรัฐอเมริกา
ประเทศที่ให้เสรีภาพสูงมาก
การหมิ่นประมาทประธานาธิบดีก็ยังถูกควบคุม
ผ่านกฎหมายหมิ่นประมาทและข้อจำกัดอื่น
เพื่อไม่ให้เสรีภาพกลายเป็นอาวุธ

คำพูดของณัฐพงษ์บนเวทีดีเบต
จึงเป็นเรื่องที่สังคมต้องหยุดคิด
และไม่ควรถูกทำให้เบา

คำพูดนี้สะท้อนวิธีคิดของผู้นำทางการเมือง
ต่อบทบาทของกฎหมาย
ต่อสถาบัน
และต่อความหมายของความรับผิดชอบ

แนวคิด “ไม่ควรมีใครติดคุกเพราะคำพูด”
อาจฟังดูดี
อาจฟังดูเท่
และดึงดูดใจในทางการเมือง

แต่หากถูกใช้เป็นแนวทางหลักในการกำหนดทิศทางประเทศ
เสรีภาพที่ไร้ความรับผิดชอบ
จะไม่ใช่คำตอบของประชาธิปไตย
และอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยในระยะยาว.

ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์

Leave a comment