
29 ธ.ค. 2568 05:33 น.
- ข่าว
- ต่างประเทศ
- ไทยรัฐออนไลน์
เซเลนสกีคุยทรัมป์ เห็นชอบแผนสันติภาพแล้ว 90% ยังไม่เคลียร์ปมดินแดน
เซเลนสกีเข้าพบและหารือกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ฟลอริดา โดยระบุว่า พวกเขาเห็นชอบแผนการสันติภาพไปแล้ว 90% แต่ปัญหาเรื่องดินแดนยังไม่ได้ข้อยุติ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 ธ.ต. 2568 นายโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เดินทางเข้าพบ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่รีสอร์ต มาร์-อา-ลาร์โก ในรัฐฟลอริดา เพื่อหารือกันเรื่องแผนการสันติภาพ 20 ข้อ รวมถึงเรื่องที่ฝ่ายยูเครนเป็นผู้เสนอ
ในการแถลงข่าวหลังการหารือ นายทรัมป์กล่าวว่า เขารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากยูเครน พร้อมกับชื่นชมพวกเขาว่าเป็น “กลุ่มคนที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่”
จากนั้น เซเลนสกีได้กล่าวขอบคุณทรัมป์สำหรับ “การประชุมที่ยอดเยี่ยม” และว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันในทุกแง่มุมของกรอบความร่วมมือเพื่อสันติภาพ และมีการเห็นชอบแผนสันติภาพ 20 ข้อร่วมกันแล้วกว่า 90% ในขณะที่การรับประกันความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ-ยูเครนนั้นได้รับความเห็นชอบร่วมกันเต็ม 100% แล้ว
“หลักประกันความมั่นคงคือ หมุดหมายสำคัญในการบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืน” เซเลนสกีกล่าวในลำดับถัดมา ก่อนจะเสริมว่า ทีมงานจากยุโรปและยูเครนจะเดินหน้าทำงานในเรื่องนี้ต่อไป และจะมีการพบปะกัน “ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า” เพื่อ “หาข้อสรุปในทุกประเด็นที่ได้หารือกันไว้”
นอกจากนี้ เขายังระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะให้การต้อนรับคณะทำงานดังกล่าว ณ กรุงวอชิงตัน ในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ด้วย
ต่อมานายทรัมป์กล่าวว่า การรับประกันความมั่นคงนั้นเสร็จสิ้นไป “เกือบ 95%” แล้ว แต่เสริมว่า “ผมไม่ค่อยชอบพูดเป็นเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่”
เมื่อถูกถามว่ามีการตกลงกันเรื่องเขตการค้าเสรีในภูมิภาคดอนบาสแล้วหรือยัง ทรัมป์ตอบว่าเรื่องนี้ยัง “ไม่ได้ข้อยุติ แต่ก็ขยับเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นมาก”
จากนั้นเซเลนสกีถูกถามถึงประเด็นเรื่องดอนบาส ซึ่งผู้นำยูเครนตอบว่า เราเคารพดินแดน “ที่เราควบคุมอยู่” พร้อมระบุว่าท่าทีของยูเครนต่อดอนบาสนั้น “ชัดเจนมาก” และ “เรามีจุดยืนที่แตกต่างจากรัสเซีย”
เมื่อถูกถามว่าประเด็นใดที่ “ยากลำบากที่สุด” ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ทรัมป์ตอบสั้นๆ ว่า “เรื่องดินแดน”
“คุณควรจะตกลงกันให้ได้ในตอนนี้จะดีกว่า” เขากล่าว พร้อมเสริมว่ายูเครนนั้น “กล้าหาญมาก… และสร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล” แต่ “มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องยุติ” ความขัดแย้งนี้
ทรัมป์กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเปิดกว้างสำหรับการเดินทางไปเยือนยูเครน แต่ต้องการให้ข้อตกลงเสร็จสิ้นก่อน เขายังระบุด้วยว่าได้เสนอตัวที่จะไปกล่าวสุนทรพจน์ในรัฐสภายูเครน หากเซเลนสกีคิดว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งเซเลนสกีตอบกลับว่า “คุณได้รับการต้อนรับเสมอ”
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวต่อว่า เขาได้พูดคุยกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เกี่ยวกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียของยูเครน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียมาตั้งแต่ช่วงเริ่มสงคราม
“อันที่จริง ประธานาธิบดีปูตินกำลังทำงานร่วมกับยูเครนเพื่อให้โรงไฟฟ้ากลับมาเปิดใช้งานได้” ทรัมป์กล่าว “เขาทำได้ดีมากในแง่นี้ เขาต้องการเห็นมันเปิดใช้งาน” และเสริมว่า “เขาไม่ได้ยิงขีปนาวุธใส่โรงไฟฟ้านั้น”
เมื่อถูกถามว่าสงครามนี้จะใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะยุติ ทรัมป์ตอบว่าอาจจะจบลงภายในไม่กี่สัปดาห์ “ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เราจะได้รู้กันว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร” เขากล่าว
เมื่อถูกถามว่าเขามองเห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดการประชุมไตรภาคีระหว่างรัสเซีย สหรัฐฯ และยูเครนหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่าเขามองเห็นโอกาสนั้นในเวลาที่เหมาะสม “เขา (ปูติน) ต้องการให้มันเกิดขึ้น” ทรัมป์กล่าว “เขาบอกกับผมอย่างหนักแน่นมาก และผมเชื่อเขา”
ทรัมป์เสริมด้วยว่า ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน เขาได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับผู้นำรัสเซียเป็นเวลานานถึงสองชั่วโมงครึ่ง โดยนักข่าวถามต่อว่า รัสเซียจะต้องมีส่วนรับผิดชอบในการช่วยฟื้นฟูยูเครนด้วยหรือไม่
“พวกเขาจะเข้ามาช่วย” ทรัมป์กล่าวถึงรัสเซีย “รัสเซียต้องการเห็นยูเครนประสบความสำเร็จ”
ผู้นำสหรัฐฯ บอกอีกว่า ปูตินแสดงความเอื้อเฟื้ออย่างมากในความปรารถนาที่จะเห็นความสำเร็จของยูเครน ซึ่งรวมถึง “การจัดหาพลังงาน ไฟฟ้า และสิ่งอื่น ๆ ในราคาที่ต่ำมาก” แต่ปูตินยังไม่ได้ตอบตกลงในเรื่องการหยุดยิง เพราะเขาไม่ต้องการหยุดรบแล้วต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งซึ่ง “ผมเข้าใจจุดยืนนั้น” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเสริม
จากนั้นเซเลนสกีถูกถามถึงประเด็นเกี่ยวกับชาวยูเครนที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ และคำถามที่ว่าพวกเขาจะมีส่วนร่วมในการลงประชามติเพื่อเห็นชอบต่อข้อตกลงใดๆ ในการยุติสงครามได้หรือไม่
“พวกเขามีสิทธิ์ในเรื่องนี้” ผู้นำยูเครนกล่าว พร้อมเสริมว่าจำเป็นจะต้องมีการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จริง ก่อนที่การแถลงข่าวร่วมของผู้นำทั้งสองคนจะสิ้นสุดลง
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc