ครม.เห็นชอบหลักการเกณฑ์ เงื่อนไขลดหย่อน ออกเงินสมทบนายจ้าง-ผู้ประกันตนพื้นที่ประสบภัยพิบัติร้ายแรง

ครม.เห็นชอบหลักการเกณฑ์ เงื่อนไขลดหย่อน ออกเงินสมทบนายจ้าง-ผู้ประกันตนพื้นที่ประสบภัยพิบัติร้ายแรง

ครม.เห็นชอบหลักการเกณฑ์ เงื่อนไขลดหย่อน ออกเงินสมทบนายจ้าง-ผู้ประกันตนพื้นที่ประสบภัยพิบัติร้ายแรง

วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.46 น.

ครม. มติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อน การออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง พ.ศ. ….

30 ธันวาคม 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนากยรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อน การออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างประกาศนี้ มีสาระสำคัญเป็นการลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของนายจ้าง ผู้ประกันตนตาม ม. 33 และผู้ประกันตนตาม ม. 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรงในภาคใต้ จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่นายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ดังกล่าว ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 
– กำหนดให้นายจ้างซึ่งขึ้นทะเบียนนายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน ได้รับลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ประจำงวดเดือนธันวาคม พ.ศ. 2568 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2569 ดังนี้
1) นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ส่งเงินสมทบ จากเดิม ในอัตราฝ่ายละร้อยละ 5 เป็นอัตราฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน
2) ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ส่งเงินสมทบ จากเดิมในอัตราร้อยละ 9 เป็นอัตราร้อยละ 5.90 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน คิดเป็นจำนวนเงิน จากเดือนละ 432 บาท เป็นเดือนละ 283 บาท

โดยร่างประกาศฉบับนี้เป็นการเสนอให้ความเห็นชอบการออกประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสำหรับการลดหย่อนการออกเงินสมทบในส่วนนายจ้างและผู้ประกันตนตามที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้ ซึ่งไม่รวมถึงการออกเงินสมทบในส่วนของรัฐบาล จึงมิได้เป็นการออกกฎหมายที่มีผลเป็นการเพิ่มภาระงบฯ และการคลังหรือทำให้สูญเสียรายได้ของรัฐ และมิได้เป็นกรณีที่ ครม. กระทำการอันมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อ ครม. ชุดต่อไปตาม ม. 169 (1) ของรัฐธรรมนูญ

Leave a comment