สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2568

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2568

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2568

วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.56 น.

วันที่ 30 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล  ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้

กฎหมาย

1. เรื่อง ร่างระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาโดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)  ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ พร้อมทั้งให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้

                สาระสำคัญของเรื่อง

                สปน. เสนอว่า

                1. โดยที่มาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ได้บัญญัติให้มีการกำหนดวิธีรักษาข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อมิให้ข้อมูลดังกล่าวรั่วไหลและเพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติซึ่งต่อมาได้มีการออกระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการจัดทำและการแปลง การสำเนาและการแปล การโอน การส่งและการรับ การเปิดเผย การทำลาย การเก็บรักษา การสำรองและการถูกทำลายสูญหายสามารถใช้งานได้หรือไม่ ตลอดจนการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลข่าวสารลับของราชการ อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของมูลดังกล่าวใช้กับข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของกระดาษเท่านั้น

                2. ปัจจุบันหน่วยงานของรัฐได้มีการรับส่งข้อมูลข่าวสารของราชการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น และพบปัญหาเกี่ยวกับการรับส่งข้อมูลข่าวสารลับของราชการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ว่าจะต้องมีขั้นตอนในการดำเนินการอย่างไร จึงส่งผลให้เกิดปัญหาว่า หากมีการส่งข้อมูลข่าวสารลับของราชการ หน่วยงานของรัฐจะต้องดำเนินการด้วยวิธีทางกระดาษจนเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้าในการติดต่อประสาบงานระหว่างหน่วยงานของรัฐและไม่สอดรับกับการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์

                3. ในการประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ครั้งที่ 2/2554 เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2554 คณะกรรมการฯ เล็งเห็นปัญหาข้างต้น ประกอบกับข้อ 6 แห่งระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 กำหนดให้ทุก 5 ปีเป็นอย่างน้อย ให้นายกรัฐมนตรีจัดให้มีการทบทวนการปฏิบัติตามระเบียบนี้และพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบนี้ให้เหมาะสม จึงเห็นควรให้มีการดำเนินการรักษาความปลอดภัยรักษาความลับของข้อมูลข่าวสารด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาการปฏิบัติงานตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ  เพื่อพิจารณาจัดทำร่างระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

                4. ต่อมาคณะอนุกรรมการพัฒนาการปฏิบัติงานตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ ได้ยกร่างระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. โดยกำหนดเพิ่มเติมหมวด
5 ข้อมูลข่าวสารลับอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 26 ข้อ
 (ข้อ 50/1-50/26) ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

ข้อสาระสำคัญ
ข้อ 50/1-50/2กำหนดคำนิยาม เช่น “ข้อมูลข่าวสารลับอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารลับที่ได้จัดทำ ส่ง รับ เก็บรักษา หรือประมวลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนที่ 1 บททั่วไป
ข้อ 50/3-50/6เช่น กำหนดให้การจัดการข้อมูลข่าวสารลับอิเล็กทรอนิกส์ต้องมีการกำหนดสิทธิในการเข้าถึงอย่างเหมาะสม กำหนดให้องค์การรักษาความปลอดภัยตามระเบียบนี้ (ได้แก่ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการทหารสูงสุด) ร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติตามหมวดนี้ รวมถึงอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
ส่วนที่ 2 การทะเบียนและการตรวจสอบ
ข้อ 50/7-50/12เช่น กำหนดคุณสมบัตินายทะเบียน หรือผู้ช่วยนายทะเบียนข้อมูล         ข่าวสารลับอิเล็กทรอนิกส์ (อาทิ มีความละเอียดรอบคอบและมีจิตสำนึกในเรื่องการรักษาความปลอดภัยและการรักษาความลับเป็นอย่างดี ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเป็นผู้มีทักษะด้านดิจิทัล) กำหนดหน้าที่ของนายทะเบียน (อาทิ เก็บรักษาข้อมูลฯ ไว้ในที่ปลอดภัย เก็บรักษาลายมือชื่อนายทะเบียนฯ และผู้ช่วยนายทะเบียนของหน่วยงานของรัฐอื่นที่ติดต่อเกี่ยวข้องกันเป็นประจำ) กำหนดความถี่ในการตรวจสอบข้อมูลฯ ของนายทะเบียน (อย่างน้อยทุก 3 เดือน หรือทันทีเมื่อพบเหตุจะเมิดหรือถูกโจมตี) กำหนดให้มีการทบทวนและปรับปรุงสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลฯ หรือเมื่อมีการโยกย้าย หรือสับเปลี่ยนตำแหน่งทุก 3 เดือน และกำหนดให้การดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามคำแนะนำขององค์กรการรักษาความปลอดภัย
ส่วนที่ 3 การจัดทำและการแปลง
ข้อ 50/13กำหนดขั้นตอนการดำเนินการจัดทำและการแปลงข้อมูลข่าวสารลับอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ให้กำหนดจำนวนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นในการจัดทำข้อมูลฯ และจำกัดให้ทราบข้อมูลฯ เท่าที่จำเป็น
ส่วนที่ 4 การสำเนาและการแปล
ข้อ 50/14กำหนดให้ต้องจัดทำสำเนาเป็นข้อมูลฉบับใหม่ และต้องบันทึก จำนวนชุด ยศ ชื่อตำแหน่งของผู้ดำเนินการ และชื่อหน่วยงานของรัฐที่จัดทำไว้ที่ข้อมูลข่าวสารลับฉบับต้นที่ตนครอบครองและที่ฉบับสำเนา ฉบับคำแปล ฉบับเข้ารหัส หรือฉบับถอดรหัส
ส่วนที่ 5 การโอน
ข้อ 50/15– กำหนดให้เมื่อการโอนข้อมูลข่าวสารลับอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานของรัฐหรือการโอนภายในหน่วยงานเดียวกันเมื่อได้รับอนุญาตจากหัวหน้าหน่วยงานแล้วให้เจ้าหน้าที่ผู้โอนและผู้รับโอนแจ้งต่อนายทะเบียนเป็นผู้ดำเนินการ โดยใช้มาตรการที่สามารถรักษาหรือสงวนไว้เพื่อป้องกันการเข้าถึง ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลโดยบุคคลผู้ไม่มีสิทธิ และเมื่อดำเนินการแล้วให้นายทะเบียนบันทึกการโอนไว้ในทะเบียน- กำหนดให้การให้ยืมข้อมูลข่าวสารลับต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงาน (หรือผู้มอบหมาย) โดยให้พิจารณาว่าผู้ยืมมีหน้าที่ดำเนินการในเรื่องที่ยืมและสามารถปฏิบัติตามระเบียบนี้ได้หรือไม่ และหากเป็นข้อมูลของหน่วยงานต้องขออนุญาตจากเจ้าของเรื่องก่อน (ยกเว้นผู้ยืมเป็นเจ้าของเรื่องเอง) โดยนายทะเบียนต้องบันทึกและจดแจ้งการยืมไว้ในทะเบียนควบคุมทุกครั้ง และให้ดำเนินการเช่นเดียวกับการโอนข้อมูลตามระเบียบนี้
ส่วนที่ 6 การส่งและการรับ
ข้อ 50/16-50/19เช่น กำหนดให้การส่งและการรับข้อมูลให้ดำเนินการเฉพาะข้อมูลข่าวสารลับอิเล็กทรอนิกส์ ชั้น “ลับ” และ “ลับมาก” โดยขั้น                    “ลับที่สุด” ห้ามหน่วยงานดำเนินการส่งและรับผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เว้นแต่มีความจำเป็น ให้ทำความตกลงกับองค์การรักษาความปลอดภัยเพื่อจัดทำข้อตกลงในการส่งและรับข้อมูลฯ เป็นกรณีพิเศษกำหนดให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐหรือผู้ที่ได้รับ                      มอบหมายเท่านั้น ที่มีอำนาจอนุญาตให้ใช้เจ้าหน้าที่นำสารในการ
ส่งข้อมูลออกไปยังภายนอกหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศและต้องให้นายทะเบียนฯ ลงทะเบียนข้อมูลดังกล่าวไว้ก่อนทำการส่งออกทุกครั้ง
ส่วนที่ 7 การเปิดเผย
ข้อ 50/20กรณีหัวหน้าหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารลับอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไข
ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารลับนั้นได้ตามข้อจำกัดหรือเงื่อนไขที่กำหนด และให้นายทะเบียนสำเนาข้อมูลให้และกำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลในรูปแบบการอ่านอย่างเดียว
ส่วนที่ 8 การทำลาย 
ข้อ 50/21กำหนดให้การทำลายข้อมูลข่าวสารลับอิเล็กทรอนิกส์ให้นำความ
ในข้อ 46 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
 โดยมีวิธีดำเนินการ เช่น กรณีที่การเก็บรักษาข้อมูลฯ ชั้นลับที่สุดจะเสี่ยงต่อการรั่วไหลอันจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ประโยชน์แห่งรัฐ หัวหน้าหน่วยงานสามารถพิจารณาสั่งทำลายข้อมูลฯ ชั้นลับที่สุดนั้นได้ หากพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำลาย นอกจากเหตุผลข้างต้นแล้วหัวหน้าหน่วยงานจะสั่งทำลายข้อมูลฯ ได้ ก็ต่อเมื่อได้ส่งข้อมูลฯ ให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีคุณค่าในการเก็บรักษา
ส่วนที่ 9 การเก็บรักษา การสำรอง การถูกทำลายสูญหาย หรือไม่สามารถใช้งานได้
ข้อ 50/22-50/23-กำหนดให้หน่วยงานและนายทะเบียนเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารลับอิเล็กทรอนิกส์ไว้ในที่ปลอดภัยและให้กำหนดระเบียบการเก็บรักษาข้อมูลฯ ไว้เป็นการเฉพาะ-กำหนดให้หัวหน้าหน่วยงานจัดให้มีการสำรองข้อมูลที่อยู่ในครอบครองของหน่วยงานโดยวิธีการและระยะเวลาที่เหมาะสม
ส่วนที่ 10 การรักษาความมั่นคง  ปลอดภัยด้านสารสนเทศ
ข้อ 50/24-50/26กำหนดมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยด้านสารสนเทศ (เช่น การรักษาความลับ  การรักษาความครบถ้วน การรักษาสภาพพร้อมใช้งาน ให้เป็นไปตามคำแนะนำขององค์การรักษาความปลอดภัย) กำหนดการบริหารจัดการข้อมูล (เช่น กำหนดให้ผู้มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลต้องสามารถระบุตัวคนและพิสูจน์ตัวตนได้) และกำหนดมาตรการบริหารจัดการอุปกรณ์ (เช่น มาตรการบำรุงรักษาและการทดแทนการจัดให้มีแผนปฏิบัติในเวลาฉุกเฉิน)

                5. ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่  28 ตุลาคม 2568 คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาเห็นชอบร่างระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ                (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่คณะอนุกรรมการพัฒนาการปฏิบัติงานตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการเสนอ และมีมติให้ส่งร่างระเบียบดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี

                6. การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการรับส่งข้อมูลข่าวสารลับของราชการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ตามร่างระเบียบฉบับนี้ จะช่วยให้การดำเนินงานของราชการสอดคล้องกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน และช่วยให้การให้บริการประชาชนและการประสานงานระหว่างหน่วยงานเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวสอดคล้องกับข้อกำหนดของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2564 ที่กำหนดให้การรับส่งข้อมูลราชการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์จะต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบการรักษาความลับของทางราชการ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในเรื่องดังกล่าวไว้

2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ  เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของสถาบันพระบรมราชชนก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของสถาบันพระบรมราชชนก
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้

                สาระสำคัญของเรื่อง

              สธ. เสนอว่า

                1. โดยที่ได้มีกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2566 ให้จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ เป็นส่วนราชการในสถาบันพระบรมราชชนก สธ. จึงได้
ยกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของสถาบันพระบรมราชชนก (ฉบับที่..) พ.ศ. …. เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาแพทยศาสตร์ รวมทั้งสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ดังนี้

                        1.1 กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาแพทยศาสตร์
มีปริญญาสองชั้น คือ

                                (ก) เอก เรียกว่า “แพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “พ.ด.”
และ “ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “ปร.ด.”

                                (ข) ตรี เรียกว่า “แพทยศาสตรบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “พ.ม.”

                        1.2 กำหนดสีประจำสาขาวิชาแพทยศาสตร์ เป็น สีเขียวเข้ม

                2. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า คณะรัฐมนตรี สามารถพิจารณาอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกานี้ได้

                3. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของสถาบัน
พระบรมราชชนก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกา
ว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่ง
ของสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ. 2565 กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาแพทยศาสตร์ รวมทั้งสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ซึ่งสภาสถาบันพระบรมราชชนกได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรแล้ว และแพทยสภาได้เห็นชอบหลักสูตรดังกล่าวด้วยแล้ว โดยสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 ที่ร่างอนุบัญญัติสามารถดำเนินการได้ตามปกติ หากไม่มีผลเป็นการเพิ่มภาระงบประมาณและการคลังหรือทำให้รัฐสูญเสียรายได้ของรัฐ ประกอบกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าคณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้

3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ
เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย      (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้

                สาระสำคัญของเรื่อง

                อว. เสนอว่า

                1. เนื่องด้วยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยได้มีการเปิดหลักสูตรเพิ่มขึ้น 2 สาขา ได้แก่ สาขาเทคนิคการสัตวแพทย์ และสาขาการพยาบาลสัตว์ โดยทั้ง 2 สาขาดังกล่าว จัดอยู่ในกลุ่มสาขา
วิชาวิทยาศาสตร์ จึงสมควรกำหนดสีประจำสาขาดังกล่าว อว. จึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะและครุยประจำตำแหน่ง
ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เพื่อกำหนดสีประจำสาขาเทคนิคการสัตวแพทย์ เป็นสีน้ำเงิน และสาขาการพยาบาลสัตว์เป็นสีเขียวอ่อน

                2. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกานี้ได้

                3. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่าร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญา            ในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ    เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา
ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดสีประจำสาขาเทคนิคการสัตวแพทย์ และสาขาการพยาบาลสัตว์      ซึ่งสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรแล้ว และได้แจ้งหลักสูตรการศึกษาดังกล่าว ต่อสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแล้วโดยสอดคล้อง    กับแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 ที่ร่าง     อนุบัญญัติสามารถดำเนินการได้ตามปกติ หากไม่มีผลเป็นการเพิ่มภาระงบประมาณและการคลังหรือทำให้        รัฐสูญเสียรายได้ของรัฐ ประกอบกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าคณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้

4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง พ.ศ.. ….

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ

                       สาระสำคัญของร่างประกาศ

                        รง. เสนอว่า

                        1. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย อุทกภัยภาคใต้ จำนวน 9 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และผู้ประกันตน
ตามมาตรา 39 ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยดังกล่าวจนไม่สามารถประกอบกิจการหรือทำงานได้ตามปกติ รง. จึงได้เสนอเรื่องนี้ให้คณะกรรมการประกันสังคมพิจารณา เพื่อจะได้ดำเนินการตามมาตรา 46/1 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ต่อไป

                        2. ในคราวประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (ชุดที่ 14) ครั้งที่ 27/2568 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 มีมติเห็นชอบลดอัตราเงินสมทบของนายจ้าง ผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบอุทกภัย จำนวน 9จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี

เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่งวดการนำส่งเงินสมทบเดือนธันวาคม 2568 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2569 ดังนี้

                                2.1 กรณีนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม โดยให้นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 นำส่งเงินสมทบ จากเดิมอัตราฝ่ายละร้อยละ 5 เป็นอัตราฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน      

                                2.2 กรณีผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ปรับลดอัตราเงินสมทบทุนประกันสังคมของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 โดยนำส่งเงินสมทบ จากเดิมอัตราร้อยละ 9 เป็นอัตราร้อยละ 5.90 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน คิดเป็นจำนวนเงิน จากเดือนละ 432 บาท เป็นเดือนละ 283 บาท

                        3. รง. จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง พ.ศ.. …. มาเพื่อดำเนินการ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

ร่างประกาศสาระสำคัญ
ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง พ.ศ. ….Ÿ กรณีอุทกภัยในภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน                  พ.ศ. 2568Ÿ กำหนดให้นายจ้างซึ่งขึ้นทะเบียนนายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน ได้รับลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ประจำงวดเดือนธันวาคม พ.ศ. 2568ถึงงวดเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2569 ดังนี้1) นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ส่งเงินสมทบ     จากเดิม ในอัตราฝ่ายละร้อยละ 5 เป็นอัตราฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน2) ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ส่งเงินสมทบ จากเดิม
ในอัตราร้อยละ 9 เป็นอัตราร้อยละ 5.90 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน คิดเป็นจำนวนเงิน จากเดือนละ
432 บาท เป็นเดือนละ 283 บาท

                4. รง. ได้ดำเนินการตามมาตรา 7 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว ซึ่งจากข้อมูลการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ประกันภัย กรณีการลดหย่อนการนำส่งเงินสมทบเป็นระยะเวลา 6 เดือน ในพื้นที่ 9 จังหวัด ส่งผลให้กองทุนจัดเก็บเงินสมทบได้ลดลงจำนวน 1,401 ล้านบาท และเสียโอกาสในการลงทุน จำนวน 35 ล้านบาท (คาดการณ์จากอัตราผลตอบแทนการลงทุนร้อยละ 5 ต่อปี) รวมเป็นเงิน

1,436 ล้านบาท ทั้งนี้ ในภาพรวมการลดหย่อนการนำส่งเงินสมทบจะไม่กระทบต่อเงินสมทบของรัฐบาล และไม่ส่งผลกระทบต่อกองทุน เนื่องจากจำนวนผู้ประกันตนที่อาจได้รับผลกระทบมีจำนวน 639,077 คน ซึ่งมีสัดส่วนเงินสมทบคิดเป็นประมาณร้อยละ 3.7 ของทั้งประเทศ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากยังสามารถจัดเก็บเงินสมทบจากนายจ้างและผู้ประกันตนในจังหวัดอื่น ๆ ได้เต็มจำนวน นอกจากนี้ จะส่งผลดีต่อนายจ้างและผู้ประกันตน เนื่องจากเป็นการช่วยเหลือเยียวยาภาระด้านการเงินของนายจ้างและผู้ประกันตน
เพราะจะทำให้นายจ้างและผู้ประกันตนมีค่าใช้จ่ายลดลง และสามารถนำเงินสมทบในส่วนที่ได้รับการลดหย่อน
ไปฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ รง. โดยสำนักงานประกันสังคมได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
ผ่านระบบกลางทางกฎหมาย และเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมแล้ว

                5. โดยที่ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ประกาศใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568  (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการ ยุบสภาผู้แทนราษฎร) กรณีการออกกฎหมายที่เป็นร่างอนุบัญญัติที่มีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรี ชุดต่อไป หรือมีผลเป็นการเพิ่มภาระงบประมาณและการคลัง หรือทำให้สูญเสียรายได้ของรัฐจะไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่ง รง. ชี้แจงว่า ร่างประกาศกระทรวงแรงงานฉบับนี้ไม่มีผลผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป อีกทั้งไม่เป็นภาระงบประมาณและการคลัง หรือทำให้สูญเสียรายได้ของรัฐ เนื่องจากเป็นการลดหย่อนการออกเงินสมทบในส่วนของนายจ้าง และผู้ประกันตน มิได้เป็นการลดหย่อนการออกเงินสมทบของรัฐบาลแต่อย่างใด (อัตราเงินสมทบของรัฐบาลร้อยละ 2.75 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน)

5. เรื่อง ร่างกฎหมายลำดับรองออกตามความในพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 เกี่ยวกับการกำหนด

กลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีส่วนเพิ่ม และการปรับปรุงรายได้ รายจ่าย และภาษีที่อยู่ในขอบข่ายเพื่อการคำนวณภาษีส่วนเพิ่ม จำนวน 4 ฉบับ

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎหมายลำดับรองออกตามความในพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 เกี่ยวกับการกำหนดกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีส่วนเพิ่ม และการปรับปรุงรายได้ รายจ่าย และภาษีที่อยู่ในขอบข่ายเพื่อการคำนวณภาษีส่วนเพิ่ม จำนวน 4 ฉบับ ดังนี้ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

                1. ร่างพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์การพิจารณาการอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีส่วนเพิ่ม สำหรับกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติที่มีการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร พ.ศ. ….. พร้อมบันทึกหลักการและเหตุผลและบันทึกวิเคราะห์สรุป จำนวน 1 ฉบับ

                2. ร่างพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยกำหนดนิติบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลในเครือ พ.ศ. …. พร้อมบันทึกหลักการและเหตุผลและบันทึกวิเคราะห์สรุป จำนวน 1 ฉบับ

                3. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ..) ออกตามความในพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่มพ.ศ. 2567 ว่าด้วยการปันส่วนภาษีส่วนเพิ่มคงเหลือที่ประเทศไทยได้รับให้แก่นิติบุคคลในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย พร้อมบันทึกหลักการและเหตุผลและบันทึกวิเคราะห์สรุป จำนวน 1 ฉบับ

                4. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. …) ออกตามความในพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ว่าด้วยการปรับปรุงรายได้ รายจ่าย และภาษีที่อยู่ในขอบข่ายเพื่อการคำนวณภาษีส่วนเพิ่มพร้อมบันทึกหลักการและเหตุผลและบันทึกวิเคราะห์สรุป จำนวน 1 ฉบับ

               สาระสำคัญของร่างกฎหมาย

                1. ร่างพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์การพิจารณาการอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีส่วนเพิ่ม

สำหรับกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติที่มีการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร พ.ศ. ….

                        1.1 การรวมกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีส่วนเพิ่ม

                                (1) กรณีกลุ่มนิติบุคคลมากกว่าหนึ่งกลุ่มนิติบุคคลได้มีการรวมกิจการระหว่างกันในรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่งในช่วง 4 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่พิจารณาหน้าที่การเสียภาษีส่วนเพิ่ม ให้ถือว่ารายได้รวมทั้งหมดของกลุ่มนิติบุคคลที่ได้รวมเข้ากัน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่งก่อนที่จะมีการรวมกิจการนั้นมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินตราไทยเทียบเท่า 750 ล้านยูโรสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าว หากผลรวมของรายได้รวมทั้งหมดตามงบการเงินรวมของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุดของแต่ละกลุ่มนิติบุคคลที่มีการรวมกิจการสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินตราไทยเทียบเท่า 750 ล้านยูโร

                                (2) กรณีนิติบุคคลหนึ่งที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มนิติบุคคลใดมีการรวมกิจการกับนิติบุคคลอื่นหรือกับกลุ่มนิติบุคคลหนึ่งในรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่พิจารณาหน้าที่การเสียภาษีส่วนเพิ่ม ให้ถือว่ารายได้รวมทั้งหมดของกลุ่มนิติบุคคลที่เกิดจากการรวมกิจการสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่งก่อนที่จะมีการรวมกิจการนั้นมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินตราไทยเทียบเท่า 750 ล้านยูโรสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าว
หากผลรวมของรายได้รวมทั้งหมดตามงบการเงินของนิติบุคคลหรือรายได้รวมทั้งหมดตามงบการเงินรวมของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุดของกลุ่มนิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินตราไทยเทียบเท่า 750ล้านยูโร

                                        1.2 การแยกกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีส่วนเพิ่ม

                                                (1) กรณีที่รอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่พิจารณาหน้าที่การเสียภาษีส่วนเพิ่มเป็นรอบระยะเวลาบัญชีแรกภายหลังจากที่กลุ่มนิติบุคคลใหม่นั้นได้แยกกิจการออกจากกลุ่มนิติบุคคลรายได้รวมทั้งหมดตามงบการเงินรวมของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุดของกลุ่มนิติบุคคลใหม่นั้นมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินตราไทยเทียบเท่า 750 ล้านยูโร

                                                (2) กรณีที่รอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่พิจารณาหน้าที่การเสียภาษีส่วนเพิ่มเป็นรอบระยะเวลาบัญชีที่ 2 ถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่ 4 ภายหลังจากที่กลุ่มนิติบุคคลใหม่นั้นได้แยกกิจการออกจากกลุ่มนิติบุคคลเดิม รายได้รวมทั้งหมดคาบการเงินรวมของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสูงสุดของกลุ่ม
นิติบุคคลใหม่นั้นอย่างน้อย 2 รอบระยะเวลาบัญชีนับแต่ปีที่ได้มีการแยกกิจการ มีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินตราไทยเทียบเท่า 750 ล้านยูโร

                2. ร่างพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยกำหนดนิติบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลในเครือ พ.ศ. ….

                กำหนดให้นิติบุคคลที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ ไม่ใช่นิติบุคคลในเครือตามกฎหมายว่าด้วยการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม

                        2.1 เป็นนิติบุคคลตามมาตรา 27 (1) ถึง (6) แห่งพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567ตั้งแต่หนึ่งนิติบุคคลขึ้นไปที่ไม่ใช่นิติบุคคลผู้ให้บริการบำนาญ ได้มีส่วนได้เสียในความเป็นเจ้าของไม่น้อยกว่า
ร้อยละ 95 ของมูลค่าทั้งหมด ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านนิติบุคคลอื่น และได้ดำเนินการทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในการถือครองทรัพย์สินหรือลงทุนเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคลที่มีส่วนได้เสียในความเป็นเจ้าของหรือได้ดำเนิน
แต่กิจกรรมที่เป็นส่วนเสริมต่อกิจกรรมที่ดำเนินการโดยนิติบุคคลที่มีส่วนได้เสียในความเป็นเจ้าของดังกล่าวเท่านั้น

                        2.2 เป็นนิติบุคคลตามมาตรา 27 (1) ถึง (6) แห่งพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ตั้งแต่หนึ่งนิติบุคคลขึ้นไปที่ไม่ใช่นิติบุคคลผู้ให้บริการบำนาญ ได้มีส่วนได้เสียในความเป็นเจ้าของไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ของมูลค่าทั้งหมด ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านนิติบุคคลอื่น และรายได้เกือบทั้งหมดเป็นเงินปันผลหรือส่วนเกินทุนหรือส่วนต่ำกว่าทุนจากส่วนได้เสียในความเป็นเจ้าของที่ไม่ถูกรวมในการคำนวณผลกำไรหรือผลขาดทุน

                3. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ว่าด้วยการปันส่วนภาษีส่วนเพิ่มคงเหลือที่ประเทศไทยได้รับให้แก่นิติบุคคลในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย

                        3.1 กรณีนิติบุคคลในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยหลายรายซึ่งเป็นสมาชิกของนิติบุคคลข้ามชาติเดียวกันต้องเสียภาษีส่วนเพิ่มคงเหลือที่ประเทศไทยได้รับการปีนส่วน แต่ไม่มีนิติบุคคลในเครือรายใดมีผลกำไร ให้ปันส่วนภาษีส่วนเพิ่มคงเหลือที่ประเทศไทยได้รับการปันส่วนมานั้นแก่นิติบุคคลในเครือแต่ละรายดังกล่าวเป็นจำนวนเท่ากับจำนวนของภาษีส่วนเพิ่มคงเหลือที่ประเทศไทยได้รับการปันส่วนคูณด้วยผลรวมของสัดส่วนร้อยละ ดังต่อไปนี้

                                (1) กึ่งหนึ่งของสัดส่วนร้อยละของจำนวนลูกจ้างของนิติบุคคลในเครือรายดังกล่าวต่อจำนวนลูกจ้างในประเทศไทย และ

                                (2) กึ่งหนึ่งของสัดส่วนร้อยละของมูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนของนิติบุคคลในเครือรายดังกล่าวต่อมูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนในประเทศไทย

                        3.2 การคำนวณจำนวนลูกจ้างแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีให้พิจารณาดังนี้

                                (1) จำนวนลูกจ้างในประเทศไทย ให้นับรวมจำนวนลูกจ้างทั้งหมดของทุกนิติบุคคลในเครือของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติตั้งอยู่ในประเทศไทย แต่ไม่รวมถึงจำนวนลูกจ้างของนิติบุคคลในเครือที่มีลักษณะเป็นนิติบุคคลเพื่อการลงทุน

                                (2) ในการคำนวณจำนวนลูกจ้าง ให้คำนวณตามอัตราเทียบเท่าการปฏิบัติงาน

เต็มเวลา [Full-time Equivalent (FTE) Basis)

                                (3) ลูกจ้างที่นับรวมในการคำนวณจำนวนลูกจ้างของนิติบุคคลในเครือรายหนึ่ง

ต้องเป็นลูกจ้างของนิติบุคคลในเครือรายดังกล่าว และนิติบุคคลในเครือดังกล่าวได้รวมค่าตอบแทนลูกจ้างนั้น

เป็นรายจ่ายในงบการเงินของตน

                                (4) ลูกจ้างที่นับรวมในการคำนวณจำนวนลูกจ้าง ให้หมายความรวมถึงผู้รับจ้างอิสระที่ปฏิบัติงานในการดำเนินกิจการโดยปกติ (Ordinary Operating Activity) ของนิติบุคคลในเครือ และนิติบุคคลในเครือดังกล่าวได้รวมค่าตอบแทนผู้รับจ้างอิสระนั้นเป็นรายจ่ายในงบการเงินของตน

                                 (5) กรณีของสถานประกอบการถาวร ให้ลูกจ้างหรือผู้รับจ้างอิสระที่ค่าตอบแทนได้รวมในงบการเงินที่จัดทำแยกเฉพาะส่วนของสถานประกอบการถาวรแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ หากลูกจ้างหรือผู้รับจ้างอิสระรายใดเป็นลูกจ้างหรือผู้รับจ้างอิสระของสถานประกอบการถาวรแห่งหนึ่งแล้ว ไม่ให้รวมลูกจ้างหรือผู้รับจ้างอิสระคนดังกล่าวเป็นลูกจ้างหรือผู้รับจ้างอิสระของนิติบุคคลในเครืออื่นอีก

                        3. การคำนวณมูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวคนแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีให้พิจารณาดังนี้

                                (1) สินทรัพย์ที่มีตัวตน หมายถึง สินทรัพย์ที่มีตัวตน ซึ่งไม่รวมถึงเงินสดทรัพย์สินเทียบเท่าเงินสด และทรัพย์สินทางการเงิน ของนิติบุคคลในเครือผู้มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในประเทศนั้น

                                (2 ) มูลค่าสุทธิตามบัญชีของสินทรัพย์ที่มีตัวตน หมายถึง จำนวนเฉลี่ยของมูลค่าของสินทรัพย์ที่มีตัวตน ณ วันเริ่มต้นรอบระยะเวลาบัญชีและวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ภายหลังหักค่าสึกหรอ ค่าเสื่อมราคา และมูลค่าด้อยค่าที่ให้บันทึกในการเงินแล้ว

                                (3) กรณีมูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนในประเทศไทย ให้พิจารณาจากผลรวมของมูลค่าสุทธิตามบัญชีของสินทรัพย์ที่มีตัวตนทั้งหมดของทุกนิติบุคคลในเครือของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย แต่ไม่รวมถึงมูลค่าสุทธิตามบัญชีของสินทรัพย์ที่มีตัวตนของนิติบุคคลในเครือที่มีลักษณะเป็นนิติบุคคลเพื่อการลงทุน

                                (4) กรณีของสถานประกอบการถาวร ให้สินทรัพย์ที่มีตัวตนที่ได้รวมในงบการเงิน
ที่จัดทำแยกเฉพาะส่วนของสถานประกอบการถาวรแห่งหนึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตนของสถานประกอบการถาวร
แห่งนั้น ทั้งนี้ หากสินทรัพย์ที่มีตัวตนรายการใดเป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตนของสถานประกอบการถาวรแห่งหนึ่งแล้ว ไม่ให้รวมมูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนรายการดังกล่าวในการคำนวณมูลค่าสุทธิตามบัญชีของสินทรัพย์ที่มีตัวตนของนิติบุคคลในเครืออื่นอีก

                4. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม  พ.ศ. 2567 ว่าด้วยการปรับปรุงรายได้ รายจ่าย และภาษีที่อยู่ในขอบข่ายเพื่อการคำนวณภาษีส่วนเพิ่ม

                        4.1 กำหนดหลักเกณฑ์การปรับปรุงรายได้ รายจ่าย และผลกำไรของนิติบุคคลในเครือรวมทั้งสถานประกอบการถาวร (Adjusted GloBE Income)

                        4.2 กำหนดหลักเกณฑ์การปรับปรุงภาษีที่อยู่ในขอบข่ายระหว่างนิติบุคคลในเครือ รวมถึงการปรับปรุงบัญชีภาษีรอตัดบัญชี (Adjusted Covered Taxes)

                        4.3 กำหนดหลักเกณฑ์การปรับปรุงรายได้ รายจ่าย ผลกำไร และการปรับปรุงภาษีที่อยู่ในขอบข่ายของนิติบุคคลที่ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุดที่เป็นนิติบุคคลประเภทโฟลธรู (Flow-through Entity)

                        4.4 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระบบภาษีที่จัดเก็บภาษีเมื่อจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น (Distribution Tax System)

                        4.5 กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับนิติบุคคลเพื่อการลงทุนและนิติบุคคลผู้เป็นเจ้าของในนิติบุคคลเพื่อการลงทุน

                        4.6 กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณภาษีส่วนเพิ่มจากกากการปรับปรุงการคำนวณอัตราภาษีที่แท้จริงหรือภาษีส่วนเพิ่มในอดีต

                        4.7 กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเปลี่ยนผ่าน

                        4.8 กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณภาษีส่วนเพิ่มภายในประเทศ [Domestic Minimum Top-up Tax (DMTT)]

                ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามข้อ 4.1 ถึงข้อ 4.8 สอดคล้องกันกับมาตรการป้องกันการกัดกร่อนฐานภาษีระหว่างประเทศ [Global Anti-Base Erosion (GloBE) Rules] ตามต้นแบบ (Model GloBE Rules) คําอธิบาย (Commentary) และแนวปฏิบัติ (Administrative Guidance) ที่ OECD เผยแพร่

               ประโยชน์และผลกระทบ

                1) จะทำให้สามารถจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มได้ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ปีละ 12,000 ล้านบาท

                2) กฎหมายว่าด้วยภาษีส่วนเพิ่มของประเทศไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากล

                3) การกัดกร่อนฐานภาษีและการถ่ายโอนกำไรของบริษัทข้ามชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

                4) การแข่งขันทางภาษีเงินได้นิติบุคคลระหว่างประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทยบนพื้นฐานของความยั่งยืนทางการคลัง

6. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี 2569 พ.ศ. ….

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี 2569 พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ

               สาระสำคัญของเรื่อง

              พณ. เสนอว่า

                1. พณ. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (11 พ.ย. 2568) โดยยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี 2569 พ.ศ. …. โดยขยายระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) สำหรับปี 2569 พิกัดอัตราศุลกากร ประเภทย่อย 1005.90.99 รหัสสถิติ 001 ออกไปอีก 1 ปี โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่1 มกราคม 2569 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 เพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ สามารถนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรภายในประเทศ ตลอดจนเพื่อให้เป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยผูกพันไว้ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

ประเด็นรายละเอียด
1.สินค้า• ข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ หมายความว่า ข้าวโพดที่เหมาะสำหรับทำอาหารสัตว์ ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 1005.90.99 รหัสสถิติ 001 ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (คงเดิม)
2. เอกสารหลักฐานประกอบการนำเข้า• หนังสือรับรองตามความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement: ATIGA) อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้1) หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) หรือหนังสือรับรอง ถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Form D)2) เอกสารที่ปรากฏคำรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Origin Declaration)ซึ่งจัดทำโดยผู้ส่งออกที่ได้รับการรับรอง (Certified Exporter) ได้แก่ ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice) หรือใบเรียกเก็บเงินค่าสินค้า (Billing Statement) ใบสั่งปล่อยสินค้า (Delivery Order) หรือใบรายการหีบห่อสินค้า (Packing List) ที่ยืนพร้อมใบกำกับสินค้า• หนังสือรับรอง ใบรับรอง หรือเอกสารหลักฐานอื่นใด ซึ่งแสดงว่า สินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นสินค้าที่มีความปลอดภัยต่อชีวิตหรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองดังกล่าวของประเทศผู้ส่งออก ทั้งนี้ การนำเข้าสินค้าตามวรรคหนึ่งที่มีมูลค่าตามราคา เอฟ โอ บีไม่เกิน 200 ดอลลาร์สหรัฐไม่ต้องแสดงหนังสือรับรองตาม 1) ต่อกรมศุลกากร (คงเดิม)
3. หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการนำเข้า กรณีองค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้า ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2569 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 (คงเดิม)• กรณีผู้นำเข้าทั่วไป ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 (ปรับระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีตามข้อ2.2) และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์• ต้องนำเข้าทางด่านศุลกากรที่มีด่านตรวจพืชและด่านกักสัตว์
หรือมีเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจของด่านดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ (คงเดิม)
4. อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษ• ให้ข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นสินค้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรในอัตราเมตริกตันละ 0 บาท (คงเดิม)
5. วันที่มีผลใช้บังคับ• ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569

              2. พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตรกร และประชาชนทั่วไป ผ่านระบบกลางของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (www.law.go.th) และเว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2568 –
3 พฤศจิกายน 2568 และได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
ที่อาจเกิดขึ้นจากกฎ โดยได้เผยแพร่ผ่านระบบกลางของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศด้วยแล้ว

                3. ร่างประกาศในเรื่องนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้

                        3.1 ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ มีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพียงพอต่อความต้องการใช้ รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารสัตว์มีวัตถุดิบเพียงพออย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ภาคปศุสัตว์และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสามารถผลิตปศุสัตว์และสัตว์น้ำให้เพียงพอ ต่อการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก

                        3.2 มีมาตรการดูแลคุ้มครองเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศและผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งระบบอย่างเป็นธรรม

                        3.4 พณ. ชี้แจงว่า การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี 2569 เป็นเรื่องที่ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบหลักการไว้เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นมติคณะรัฐมนตรีที่มีขึ้นก่อนที่จะมีการตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ประกอบกับเรื่องนี้เป็นการกำหนดรายละเอียดการปฏิบัติให้เป็นไปตามที่พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 ให้อำนาจไว้ ย่อมดำเนินการได้ตามปกติ โดยไม่ขัดต่อ มาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

7. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าในราชอาณาจักร พ.ศ. ….

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าในราชอาณาจักร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ

                สาระสำคัญของร่างประกาศ

              พณ. เสนอว่า

                1. ปัจจุบันประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการเผาแปลงเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ส่งผลให้เกิดส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและคุณภาพอากาศในประเทศ โดยที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (26 ธันวาคม 2566  6 กุมภาพันธ์ 2567 19 มีนาคม 2567 18 เมษายน 2567 29 ตุลาคม 2567 และ 17 ธันวาคม 2567) รวมถึงนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 ให้ พณ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการลดหรือห้ามการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากต่างประเทศที่ไม่ใช้การเผา ควบคู่กับการกำกับดูแลการเผาพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรในประเทศเพื่อป้องกันปัญหาการเผาเศษซากข้าวโพดภายหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต

                2. ปัจจุบันผู้นำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สามารถนำเข้าได้ภายใต้ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. 2568 พ.ศ. 2567 และระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชำระภาษีตามพันธกรณีตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568 พ.ศ. 2567 อย่างไรก็ดียังไม่มีมาตรการทางกฎหมายของหน่วยงานใดที่กำกับดูแลในบริบทการนำเข้าสินค้าเกษตร (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ว่าเป็นผลผลิตที่มาจากการเกษตรแบบปลอดเผา

                3. พณ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อเป็นลดผลกระทบจากการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในประเทศ รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (11 เม.ย. 68) พณ. จึงได้ยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการ จัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

ประเด็นรายละเอียด
1. สินค้า • ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หมายความว่า ข้าวโพดที่เหมาะสำหรับทำอาหารสัตว์ตามพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทย่อย 1005.90.99 รหัสสถิติ 001
2. เอกสารหลักฐานประกอบการนำเข้า • หนังสือรับรองว่าเป็นผลผลิตที่มาจากการทำเกษตรแบบปลอดเผาอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้แสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร        1) หนังสือรับรองตนเองของผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่แสดงว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นผลผลิตที่มาจากการทำเกษตรแบบปลอดการเผา เช่น ข้อมูลผู้นำเข้า เป็นบุคคลธรรมดา/นิติบุคคล นำเข้าจากประเทศอะไร วัน/เดือน/ปี นำเข้า ข้อมูลการเพาะปลูก ตามแบบ ขพ.1 ท้ายร่างประกาศ        2) เอกสารหลักฐานที่รับรองว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้าเป็นผลผลิต ที่มาจากการทำเกษตรแบบปลอดการเผาที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจของประเทศผู้ส่งออก หรือออกให้โดยหน่วยงานหรือสถาบันที่หน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออกให้การรับรองหรือมอบหมาย หรือออกให้โดยหน่วยงานหรือองค์กรอื่นของประเทศผู้ส่งออก หรือองค์กรที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นสากล
3. หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำเข้า• ผู้นำเข้าต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ดังต่อไปนี้        1) ต้องได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไว้กับกรมการค้าต่างประเทศหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย ก่อนนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศประกาศกำหนด        2) ต้องรายงานการนำเข้าตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศประกาศกำหนด
4. ข้อยกเว้น • การนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรในกรณีจำเป็นเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สาธารณประโยชน์ การสาธารณสุข ความมั่นคงของประเทศ หรือประโยชน์อื่นใดของรัฐโดยหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ตามความเห็นชอบของ นบขพ.• การนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้เป็นตัวอย่างหรือการศึกษาวิจัย ทั้งนี้ ในปริมาณเท่าที่จำเป็น และต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยพันธุ์พืช (พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม)
5. วันที่มีผลใช้บังคับ• ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

                4. พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ หน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตรกร และประชาชนทั่วไป ผ่านระบบกลางของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (www.law.go.th) และเว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศระหว่างวันที่ 14 – 28 ตุลาคม 2568 และได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการออกประกาศดังกล่าว โดยได้เผยแพร่ผ่านระบบกลางของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศด้วยแล้ว ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นปรากฏว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วยร้อยละ 83.33 โดยร่างประกาศมีกลไกที่ยืดหยุ่นพอที่จะนำไปปฏิบัติได้จริง ไม่เห็นด้วยร้อยละ 16.67 เนื่องจากการปลูกข้าวโพดไม่ใช่ปัญหาหรือสาเหตุหลักของ PM2.5

                5. ร่างประกาศในเรื่องนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ โดยเป็นการลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการเผาแปลงเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพื่อนบ้าน และส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและคุณภาพอากาศในประเทศ รวมถึงเป็นการส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่ประเทศไทยให้ความสำคัญ

                6. พณ. ชี้แจงว่า การกำหนดให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบหลักการไว้เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นมติคณะรัฐมนตรีที่มีขึ้นก่อนที่จะมีการตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ประกอบกับเรื่องนี้เป็นการกำหนดรายละเอียดการปฏิบัติให้เป็นไปตามที่พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 ให้อำนาจไว้ ย่อมดำเนินการได้ตามปกติ โดยไม่ขัดต่อมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

8. เรื่อง ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าว
ซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. ….

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. เมื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรประจำปี พ.ศ. 2568 และได้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 จึงจะจัดทำประกาศให้คนต่างด้าวไปยื่นคำร้องขอมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรได้

                                2. กระทรวงมหาดไทยได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการตีความและวินิจฉัยปัญหากฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ เรื่อง การร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นรายปี เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยเห็นด้วยกับความเห็นของคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการที่มีความเห็นว่า การพิจารณากำหนดจำนวนคนต่างด้าวที่จะเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นรายปี เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง มิใช่เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยให้ทำเป็นประกาศกระทรวงมหาดไทยและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา

                3. คณะรักษาความสงบแห่งชาติออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 87/2557 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมผู้รักษาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจลงวันที่
10 กรกฎาคม 2557 ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522

                4. คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองได้ประชุมเพื่อพิจารณาร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรประจำปี พ.ศ. …. ตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม 2568 โดยมีมติเห็นชอบกับร่างประกาศดังกล่าว และให้นำเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในหลักการต่อไป

                5. ในการกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรประจำปี พ.ศ. 2568
ตามร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทยฯ ได้กำหนดจำนวนคนต่างด้าว คือ คนต่างด้าว
ที่มีสัญชาติของแต่ละประเทศซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2568 มีจำนวนประเทศละไม่เกินหนึ่งร้อยคน บรรดาอาณานิคมของประเทศหนึ่งรวมกันหรือแต่ละอาณาจักรซึ่งมีการปกครองของตนเองให้ถือเป็นประเทศหนึ่ง และคนต่างด้าวไร้สัญชาติซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2568 มีจำนวนไม่เกินห้าสิบคน

เศรษฐกิจ-สังคม

9. เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ของกระทรวงพาณิชย์

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการบรรเทาผลกระทบกรณีสถานการณ์ชายแดนประเทศไทย (ไทย) – ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา) (มาตรการฯ) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ            

                สาระสำคัญ

              พณ. รายงานว่า

                1. จากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา พณ. ได้มีการติดตามสถานการณ์การค้าอย่างใกล้ชิด และได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop)              เรื่อง มาตรการฯ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ร่วมกับจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา 7 จังหวัด เช่น อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ และตราด โดยมีผู้เข้าร่วม เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรองผู้ว่าราชการจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พาณิชย์จังหวัด รวมถึงหน่วยงานและผู้ประกอบการ ทั้งนี้ สามารถสรุปข้อมูลจากการระดมความคิดเห็น    ในจังหวัดเกี่ยวกับผลกระทบและมาตรการฯ แบ่งตามกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ 4 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ/ผลกระทบมาตรการฯ เช่น
1. ประชาชน
การค้าขายและการท่องเที่ยวในพื้นที่ลดลง ประชาชนขาดรายได้ ทำให้มีกำลังซื้อลดลง– กำกับดูแลสินค้าให้มีราคาเป็นธรรม ปริมาณเพียงพอ- จัดงานธงฟ้าราคาประหยัด (ธงฟ้าฯ) เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน- ส่งเสริมอาชีพให้ประชาชนเพื่อเพิ่มรายได้ เช่น ทำธุรกิจแฟรนไซส์
2. เกษตรกร
รายได้ลดลง เนื่องจากไม่สามารถส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป เช่น ผัก ผลไม้ เป็ด ไก่พื้นเมือง น้ำปลาไปยังกัมพูชา– เพิ่มช่องทางการตลาด โดยเชื่อมโยงสินค้าไปจำหน่ายนอกพื้นที่ โดยใช้กลไกของสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อผลักดัน สินค้าเข้าสู่ตลาดกลางสินค้าเกษตร สหกรณ์ และโรงงานแปรรูป- ลดต้นทุนปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช
3. ผู้ค้ารายย่อย
3.1 ผู้ค้าสินค้าอุปโภคบริโภค– นำสินค้าไปจำหน่ายนอกพื้นที่ เช่น งานธงฟ้าฯ- ประสานผู้รับซื้อเข้าไปซื้อสินค้า เช่น กลุ่มโรงแรม และร้านอาหาร
3.2 ผู้ค้าสินค้า OTOP สินค้าอัตลักษณ์ – นำผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงและจำหน่ายสินค้าและให้สิทธิพิเศษผู้ค้าจาก 7 จังหวัด เข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย- นำสินค้าไปจำหน่ายในโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยว
3.3 ผู้ค้าสินค้าเกษตร/เกษตรแปรรูป(เช่น ผลไม้ ผัก ไก่/เป็ดพื้นเมือง) – นำสินค้าไปจำหน่ายนอกพื้นที่ โดยใช้กลไกของหน่วยงานเช่น สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด- ส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการส่งออก
4. ผู้ส่งออก
ผู้ส่งออกไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังกัมพูชาได้โดยกรณีเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น– หาตลาดใหม่ทดแทนตลาดกัมพูชา รวมถึงเสริมการบริโภคภายในประเทศสำหรับสินค้าที่มีปริมาณมาก- อำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ โดยจับคู่ผู้ส่งออกกับผู้ให้บริการขนส่งโดยเปลี่ยนไปส่งออกทางชายแดนอื่น เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

                2. ข้อเสนอมาตรการฯ ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น เช่น

                        2.1 มาตรการสินเชื่อและเสริมสภาพคล่อง เช่น จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูชายแดนเพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการใช้เป็นทุนในการพัฒนาอาชีพและในการประกอบกิจการ

                        2.2 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ดำเนินโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวและโครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยว เพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา รัฐสนับสนุนมากกว่าร้อยละ 50

                        2.3 มาตรการลดค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการ เช่น ยกเว้นภาษีท้องถิ่น    เช่น ภาษีป้าย ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่

                        2.4 มาตรการด้านแรงงาน เช่น ประชาสัมพันธ์ช่องทางการรับสมัครงานและความต้องการจ้างงานระยะสั้นผ่านช่องทางออนไลน์

                3. พณ. มีแผนการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน เกษตรกร ผู้ค้ารายย่อยและผู้ส่งออกจากสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา เช่น จัดหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพื่อช่วยระบายสินค้าในพื้นที่ (เช่น งานธงฟ้าฯ กิจกรรมรณรงค์การบริโภคผลไม้ Thai Fruits Festival 2025) การจัดทำ               สื่อประชาสัมพันธ์สินค้าของขวัญจาก 7 จังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา และการแสวงหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดกัมพูชาตลอดจนสร้างความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างประเทศ (เช่น แผนการจัดกิจกรรม Thailand Week 2026    ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม)

                4. ประโยชน์และผลกระทบ มาตรการฯ จะใช้เป็นแนวทางในการวางแผนช่วยเหลือในระยะเร่งด่วนให้ตรงกับความต้องการของผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม และเป็นข้อมูลในการวางแผนกำหนดนโยบายเพื่อบรรเทาผลกระทบในระยะยาวต่อไป        

10. เรื่อง ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายของรัฐบาล พ.ศ. 2568

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายของรัฐบาล       พ.ศ. 2568 ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

               กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายของรัฐบาล พ.ศ. 2568 สอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความคาดหวังของประชาชนต่อนโยบายและการดำเนินงานของรัฐบาล ความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาของประเทศ และความพึงพอใจในชีวิตของประชาชน เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการติดตาม ประเมินผล และวางแผนกำหนดนโยบายเพื่อสร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมในการดำเนินชีวิตให้ประชาชนทุกคน ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลโดยส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไปสัมภาษณ์ประชาชนตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ทุกจังหวัด ทั่วประเทศ ขนาดตัวอย่าง 5,000 ราย ระหว่างวันที่ 17 – 23 ตุลาคม 2568 นำเสนอผลในระดับทั่วประเทศและภาค จำนวน 5 ภาค คือ กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

                1.ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 40.3 มีความคาดหวังให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำเนินการเรื่องลดค่าครองชีพ/ควบคุมราคาสินค้าอุปโภค – บริโภคในสัดส่วนที่สูงที่สุด รองลงมาได้แก่ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ (ร้อยละ31.5) แก้ปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชา (ร้อยละ30.8) แก้ปัญหาภาคเกษตร เช่น ราคาพืชผลตกต่ำ ลดราคาปุ๋ย เป็นต้น (ร้อยละ19.4) และแก้ปัญหายาเสพติด (ร้อยละ18.1)

                เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ประชาชนตัวอย่างในทุกภาค (ประมาณร้อยละ 36 – 44) มีความคาดหวังให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำเนินการเรื่องลดค่าครองชีพ/ควบคุมราคา สินค้าอุปโภค – บริโภค ในสัดส่วนที่สูงกว่าเรื่องอื่น

                2. ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 86.8 ระบุว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินนโยบายสร้างรายได้ ลดรายจ่ายในสัดส่วนที่สูงที่สุด รองลงมาได้แก่ เร่งแก้ปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทย – กัมพูชา ด้วยแนวทางสันติภาพ (ร้อยละ 63.8) แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง (ร้อยละ 58.5) ปราบปรามการพนันผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างจริงจัง (ร้อยละ 45.3) และขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาดและจริงจัง (ร้อยละ 32.8)

                เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ประชาชนตัวอย่างในทุกภาค (ประมาณร้อยละ 78 – 92) ระบุว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินนโยบายสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ในสัดส่วนที่สูงกว่าเรื่องอื่น

                3. ประชาชนตัวอย่างร้อยละ 31.0 มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาของประเทศในระดับมาก – มากที่สุด (มากร้อยละ 27.6 และมากที่สุดร้อยละ 3.4) ร้อยละ 52.6 มีความเชื่อมั่นฯ ในระดับปานกลาง ร้อยละ 13.3 มีความเชื่อมั่นฯ ในระดับน้อย และร้อยละ 3.1 มีความเชื่อมั่นฯ ในระดับน้อยที่สุด

                เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ประชาชนตัวอย่างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 39.3 มีความเชื่อมั่นฯ ในระดับมาก – มากที่สุด ในสัดส่วนที่สูงกว่าภาคอื่น

                4. ประชาชนตัวอย่างให้คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในชีวิต 7.10 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10.00 คะแนน

                เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ประชาชนตัวอย่างในภาคใต้ให้คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในชีวิต 7.32 คะแนน ในคะแนนเฉลี่ยที่สูงกว่าภาคอื่น ขณะที่ประชาชนตัวอย่างในกรุงเทพมหานคร ให้คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในชีวิต 6.75 คะแนน ในคะแนนเฉลี่ยที่ต่ำกว่าภาคอื่น

              ประโยชน์และผลกระทบ

                ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินงานของรัฐบาลไปใช้ในการติดตาม ประเมินผล วางแผน และกำหนดนโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

11. เรื่อง การกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2569

                  คณะรัฐมนตรีอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2569 พร้อมข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2569 ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1 – 3 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปอาจมีความไม่แน่นอนสูง จากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาพลังงานโลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงปัจจัยเชิงโครงสร้าง ทั้งนี้ หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย ก็เห็นควรให้ กนง. เร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวและรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชนต่อไป               

                สาระสำคัญ

                ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กนง. ได้ประชุมหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 และได้เห็นชอบร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2569 และต่อมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีหนังสือด่วน ที่ ธปท. 8137/2568 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อขอให้พิจารณา ลงนามในข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2568 โดยข้อตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้

                1. ข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงิน

                รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลั่งและ กนง. มีข้อตกลงร่วมกันโดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1 – 3 เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะป่านกลาง โดยเป้าหมาย
ในปี 2569 จะดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทยอยกลับเข้าสู่เป้าหมายระยะปานกลาง รวมทั้งดูแลไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด หรืออัตราเงินเฟ้อที่ติดลบอย่างต่อเนื่องจากราคาสินค้าและบริการที่ลดลงในวงกว้าง โดยเป้าหมายเงินเฟ้อระยะปานกลางที่ร้อยละ 1 – 3 มีความเหมาะสม เนื่องจากที่ผ่านมาเป้าหมายดังกล่าวทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพด้านราคาได้ดี ผ่านการยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง ในขณะที่ช่วงร้อยละ 1 – 3 มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับความผันผวนจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยด้านอุปทาน

                2. การบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินในระยะปานกลาง

                การดำเนินนโยบายการเงินมุ่งดูแลเสถียรภาพด้านราคา ควบคู่ไปกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพและเสถียรภาพระบบการเงิน ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting: FIT) โดยการบรรลุเป้าหมายนโยบายการเงินในระยะปานกลาง อาศัยการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนและธุรกิจเป็นสำคัญ เพื่อให้เงินเฟ้อไม่ต่ำหรือสูงเกินไปต่อเนื่องจนกลายเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือกระทบเสถียรภาพระบบการเงิน

                ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้าที่เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายหลายด้าน กระทรวงการคลังและ ธปท. จะร่วมมือในการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน เพื่อดูแลให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนสอดคล้องกับศักยภาพ และเอื้อให้แนวโน้มเงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมาย โดยการดำเนินนโยบายการเงินจะมุ่งดูแลภาวะเศรษฐกิจการเงินโดยใช้เครื่องมือแบบผสมผสาน ทั้งในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการใช้มาตรการทางการเงินในการแก้ปัญหาหนี้และสนับสนุนสินเชื่อใหม่ เพื่อเสริมการส่งผ่านของนโยบายการเงิน

                3. ข้อตกลงในการติดตามและรายงานผลการดำเนินนโยบาย รวมถึงการหารือร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนโยบายการเงิน

                กระทรวงการคลังและ ธปท. จะหารือร่วมกันเป็นประจำและ/หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสวนร่วมกันอันนำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

                กนง. จะจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ (1) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไปและ (3) การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไป อันจะช่วยเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนถึงแนวทางการตัดสินนโยบายการเงินของ กนง. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต

                4. ข้อตกลงในการออกจดหมายเปิดผนึกของ กนง. ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเคลื่อนไหวออกนอกเป้าหมายนโยบายการเงิน

                กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในปี 2569 จะอยู่ในระดับต่ำ โดย กนง. จะกำหนดนโยบายการเงินที่เอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทยอยกลับเข้าสู่เป้าหมายระยะปานกลางในปี 2570 อย่างไรก็ดีอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้ามีความไม่แน่นอนสูงจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยด้านอุปทาน อาทิ แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาพลังงานโลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้าง ที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นตามภูมิทัศน์การค้าโลกใหม่ การทวนกระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว ดังนั้น กนง. จะติดตามและประเมินผลกระทบของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ต่อพลวัตเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด

                ทั้งนี้ กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกเป้าหมายระยะปานกลาง เพื่อสื่อสารและสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลเสถียรภาพด้านราคาให้แก่สาธารณชน โดยจะชี้แจงถึง (1) สาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกเป้าหมายดังกล่าว (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไปเพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม และ (3) ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย นอกจากนี้ กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุก 6 เดือน หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกเป้าหมายและจะรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร

                5. ข้อตกลงในการแก้ไขเป้าหมายนโยบายการเงินหากมีเหตุจำเป็น

                ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. อาจตกลงร่วมกัน เพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา

                ประโยชน์และผลกระทบ

                การกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เฉลี่ยทั้งปีที่ร้อยละ 1 – 3 โดยเป้าหมายในปี 2569 จะดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทยอยกลับเข้าสู่เป้าหมายระยะปานกลาง รวมทั้งดูแลไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด หรืออัตราเงินเฟ้อที่ติดลบอย่างต่อเนื่องจากราคาสินค้าและบริการที่ลดลงในวงกว้าง เนื่องจากกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินดังกล่าวเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่สอดคล้องกับศักยภาพและสามารถรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและยึดเหนี่ยวอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของสาธารณชนให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย

12. เรื่อง ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานเลียบชายฝั่งทะเล ช่วงที่ 6 ตามแผนผังเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ของกรมโยธาธิการและผังเมือง

              คณะรัฐมนตรีมีติอนุมัติการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี เพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนสำหรับโครงการก่อสร้างสะพานเลียบชายฝั่งทะเล ช่วงที่ 6 ตามแผนผังเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.)เสนอ สำหรับการดำเนินการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเห็นควรให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 เรื่อง การดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ ที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าให้ได้ข้อยุติต่อไป

              สาระสำคัญของเรื่อง

              1. ปัจจุบันสะพานเลียบชายฝั่งทะเล (สะพานชลมารควิถี) ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จจำนวน 5 ช่วง ระยะทางรวม 7.79 กิโลเมตร แต่ยังขาดช่วงเชื่อมต่อ กับถนนผังเมืองสาย ฌ 6 ตามผังเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ดังนั้น เพื่อให้โครงข่ายถนนสายรองเลียบชายฝั่งทะเลอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีความสมบูรณ์ ผู้ใช้ทางสามารถใช้สะพานชลมารควิถีเป็นทางผ่านเชื่อมระหว่างทางยกระดับบูรพาวิถีและอ่างศิลา เพื่อบรรเทาความแออัดและแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดได้คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ (11 ตุลาคม 2565) อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ก่อหนี้ผูกพันรายการโครงการก่อสร้างสะพานเลียบชายฝั่งทะเล ช่วงที่ 6 ตามแผนผังเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี (โครงการก่อสร้างสะพานชลมารควิถี ช่วงที่ 6) รวมวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 420 ล้านบาท ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2568 เพื่อก่อสร้างสะพานเชื่อมต่อสะพานชลมารควิถีเดิมกับถนนผังเมืองสาย ฌ 6 ระยะทางรวม 1.6 กิโลเมตร แต่โดยที่พื้นที่บางส่วนของโครงการอยู่ในเขตป่าชายเลนจำนวนเนื้อที่ 20-3-61.26 ไร่ มท. จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณีก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการก่อสร้างสะพานชลมารควิถี ช่วงที่ 6 แล้ว

                2. กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติมที่สำคัญ เช่น ขอให้ มท. ดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA โครงการก่อสร้างสะพานชลมารควิถี ช่วงที่ 6 อย่างเคร่งครัด เช่น การตอกเสาเข็มสะพานให้ดำเนินการเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน ระหว่าง 08.00 – 17.00 น. จัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนไม่น้อยกว่า 20 เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ (ทส.) ทั้งนี้ กรณีที่มีการเปลี่ยนการใช้ประโยชน์พื้นที่การปลูกสร้างอาคาร จุดตัด ทางเชื่อมทางหลวง ขอให้ดำเนินการให้สอดคล้องตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด (คค.) ส่วนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าการพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่ มท. เสนอในครั้งนี้ ไม่มีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการหรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คณะรัฐมนตรีจึงสามารถพิจารณายกเว้นมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควร โดยอาจกำหนดมาตรการต่าง ๆ ให้ มท. ดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาป่าชายเลนด้วยก็ได้

13. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 และวันที่ 23 ธันวาคม 2568เรื่อง ขอความเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา

              คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ดังนี้

                1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (ฉบับปรับปรุง) นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ จนกว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือคณะรัฐมนตรี จะมีมติว่าสถานการณ์ของประเทศกลับสู่สภาวะปกติ

                2. เห็นชอบกรอบอัตราเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา

                3. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (วันที่ 3 สิงหาคม – 25 ธันวาคม 2568) จำนวน 577,300,000 บาท โดยให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ หากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม และมีเงินคงเหลือจากกรอบวงเงิน ให้สามารถเบิกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ และหากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติมเกินกรอบวงเงิน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป

                สาระสำคัญ

                1. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา และเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ตั้งแต่วันที่
16 กรกฎาคม 2568 – 2 สิงหาคม 2568 จำนวน 404,600,000 บาท

                2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ได้เห็นชอบการใช้เงินเยียวยาที่เหลือจากกรอบวงเงินตามหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อให้สามารถจ่ายให้กับผู้ได้รับผลกระทบ ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 – จนกว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

                3. ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2568 ข้อเท็จจริงปรากฏว่ายังคงมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดเป็นระยะ อีกทั้ง ได้เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย – กัมพูชา ทวีความรุนแรงขึ้น และมีจำนวนประชาชนผู้ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น กรอบวงเงินงบประมาณเพื่อการเยียวยาที่จัดสรรไว้ในปัจจุบัน จึงไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือและเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ

                4. เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2568 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้จัดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 18/2568 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และกรอบอัตราให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (ฉบับปรับปรุง) สรุปผลการประชุม ดังนี้

                        4.1 เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์และกรอบอัตราให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ให้มีความครอบคลุมและชัดเจนยิ่งขึ้นโดยให้ยกเลิกหลักเกณฑ์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 และให้ใช้หลักเกณฑ์ใหม่แทน ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

                                4.1.1 ให้หลักเกณฑ์และกรอบอัตราให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (ฉบับปรับปรุง) มีผลบังคับใช้นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ จนกว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือคณะรัฐมนตรี จะมีมติว่าสถานการณ์ของประเทศกลับสู่สภาวะปกติ

                                4.1.2 เงินเยียวยาตามหลักเกณฑ์และกรอบอัตราให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (ฉบับปรับปรุง) ให้จ่ายผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น

                                4.1.3 กำหนดเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาการจ่ายเงินเยียวยา ดังนี้

                                (1) การจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชน กรณีเสียชีวิตทุพพลภาพให้ใช้รายงานการชันสูตรพลิกศพ หรือรายงานการสอบสวนของพนักงานสอบสวน กรณีเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ

                                (2) การจ่ายเงินเยียวยาให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้เป็นการพิจารณาของหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่แต่ละรายกรณี พร้อมเอกสารทางการแพทย์ประกอบการพิจารณา

                                4.1.4 ให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่พิจารณาจ่ายเงินเยียวยาซึ่งได้ปฏิบัติหน้าโดยสุจริต และมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

                                4.1.5 กำหนดหน้าที่ของหน่วยงานในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้

                                (1) ให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

                                (2) ให้หน่วยงานต้นสังกัดเป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบ

                        4.2 เห็นชอบความเหมาะสมในการกำหนดกรอบอัตราเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ดังนี้

                                4.2.1 เงินเยียวยากรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ อัตรา 8,000,000 บาทต่อราย โดยคำนวณตามฐานข้อมูลรายได้เฉลี่ยประจำต่อคนตามสถิติรายได้ต่อหัว (Per Capita Income)ณ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งเท่ากับ 269,000 บาท ชดเชยค่าเสียโอกาสให้กับทุกครอบครัวในอัตราเดียวกันเป็นเวลา 30 ปี ประมาณว่าผู้เสียอายุที่ 30 ปี จะมีโอกาสทำงานจนถึงอายุ 60 ปี จึงเท่ากับขาดโอกาสทำงานไป 30 ปี และกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ได้รับเงินเพิ่มเติมในลักษณะค่าเสี่ยงภัยอีก 2,000,000 บาทต่อรายโดยคิดจากอัตราร้อยละ 25 ของกรอบอัตราเงินชดเชยกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ

                                4.2.2 เงินเยียวยากรณีบาดเจ็บสาหัส อัตรา 800,000 บาท ต่อรายโดยคำนวณตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้างเรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 14) ประกาศ ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2568 ซึ่งเท่ากับ 351 บาท ชดเชยค่าเสียโอกาสให้กับทุกครอบครัวในอัตราเดียวกัน ตามประมาณการวันทำงาน 250 วันต่อปี เป็นระยะเวลา 10 ปี และกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาทิ ทหาร ทหารพราน ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน ให้ได้รับเงินเพิ่มเติมในลักษณะค่าเสี่ยงภัยอีก 200,000 บาทต่อราย โดยคิดจากอัตราร้อยละ 25 ของอัตราเงินเยียวยากรณีบาดเจ็บสาหัส

                                4.2.3 เงินเยียวยากรณีบาดเจ็บมาก อัตรา 400,000 บาท ต่อรายโดยคำนวณตามอัตราร้อยละ 50 ของเงินชดเชยกรณีบาดเจ็บสาหัส และกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาทิ ทหาร ทหารพราน ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน ให้ได้รับเงินเพิ่มเติมในลักษณะค่าเสี่ยงภัยอีก 100,000 บาท ต่อราย โดยคิดจากอัตราร้อยละ 25 ของอัตราเยียวยากรณีบาดเจ็บมาก

                        4.3 เห็นชอบกรอบวงเงินการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา นับตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม – 25 ธันวาคม 2568 จำนวน 577,300,000 บาท  โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือ เยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณีโดยการจ่ายเงินเยียวยา กรณีบาดเจ็บเล็กน้อยให้ใช้เงินช่วยเหลือจากกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ จำแนกรายละเอียด ดังนี้

                                4.3.1 เจ้าหน้าที่รัฐ รวม 562,500,000 บาท  โดยเจ้าหน้าที่ทหาร คิดเป็นเงิน 545,500,000 บาท และเจ้าหน้าที่ตำรวจ คิดเป็นเงิน 17,000,000 บาท

                                4.3.2 ประชาชน รวม 14,800,000 บาท

                        4.5 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2568 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้มีหนังสือไปถึงกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 577,300,000 บาท โดยใช้อัตรา ค่าใช้จ่ายในการชดเชยในการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568

                ประโยชน์และผลกระทบ

                การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการตามกระบวนการเยียวยาต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

14. เรื่อง ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี การใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในเขตป่าสงวนแห่งชาติในการสร้างอาคารศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดตราด

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในเขตป่าสงวนแห่งชาติในการสร้างอาคารศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดตราด ตามที่ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เสนอ

                สาระสำคัญ

              1. ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ได้ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเว้นมติคณะรัฐมนตรี การใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าปากคลองบางพระ – ป่าเกาะเจ้า – ป่าเกาะลอย และปัจจุบันป่าดังกล่าว มีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม ในท้องที่บ้านด่านเก่า หมู่ที่ 8 ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เนื้อที่ 5 ไร่ 35 ตารางวา เพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดตราด เนื่องจากปัจจุบันศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดตราดได้เช่าอาคารของเอกชนเป็นสถานที่ปฏิบัติงาน ซึ่งทำให้ประชาชนที่มาติดต่อราชการได้รับการบริการที่ไม่สะดวก เช่น สถานที่จอดรถ ห้องสุขาไม่เพียงพอ สถานที่คับแคบ จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการจัดหาอาคารเพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ อาคารที่จะก่อสร้างดังกล่าวเป็นอาคารสูง 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอยภายในอาคารทั้งหมด ประมาณ 2,052 ตารางเมตร โดยไม่เข้าข่ายโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กฎหมายกำหนด งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 43 ล้านบาท ซึ่ง ศรชล. จะใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ทั้งนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) พิจารณาแล้วไม่ขัดข้องให้ ศรชล. เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน และให้ ศรชล. ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี (เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543) ที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน และให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม ไม่น้อยกว่า 20 เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์

                2. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นสมควรพิจารณาผ่อนผันการใช้พื้นที่ดังกล่าวตามที่ ศรชล. เสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น ทส. เห็นควรให้ตรวจสอบการดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดตราด ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2568 และในกรณีต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจะต้องจัดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ ด้วย

15. เรื่อง ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปและแนวทางปฏิบัติในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปและแนวทางปฏิบัติในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สนง.กกต.) เสนอ โดยขอให้กระทรวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ และสนับสนุนการดำเนินงานของ กกต. ในการดำเนินการดังกล่าว เพิ่มเติมจาก มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร และเรื่องการออกเสียงประชามติครั้งที่หนึ่งเพื่อให้ความเห็นชอบการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่)

                สาระสำคัญ

              สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แจ้งมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร และแจ้งมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้มีการออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป คือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569

                สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งการดำเนินการกรณีมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการจัดให้มีการออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปโดยให้ กระทรวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ และสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการดำเนินงาน ดังกล่าว เพิ่มเติม ดังนี้

                        1. ให้บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่วางตัวเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดสำหรับการออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

                        2. ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นหน่วยออกเสียง

                        3. ขอความร่วมมือกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการช่วยตรวจสอบหน่วยเลือกตั้งทุกแห่งว่ามีความพร้อมสำหรับให้บริการคนพิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ หรือไม่โดยเฉพาะครั้งนี้ที่มีจำนวนหน่วยเลือกตั้งเพิ่มมากขึ้น

                        4. ให้การสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดให้มีการออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์เป็นการทั่วไป จากรัฐบาลและสำนักงบประมาณเพื่อให้เพียงพอต่อการดำเนินการต่าง ๆ

                        5. กรณีสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ให้หน่วยงานของรัฐ จัดยานพาหนะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปยังที่เลือกตั้งและนำกลับไปจากที่เลือกตั้ง

                        6. กรณีสถานการณ์ความไม่สงบ์ในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ให้จัดให้มีการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงทะเบียนขอใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ตามประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวัน และเวลายื่นคำขอลงทะเบียนใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้งลงวันที่ 15 ธันวาคม 2568

16. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไปและการออกเสียงประชามติที่กำหนดวันออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป และการออกเสียงประชามติที่กำหนดวันออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 7,824,040,100 บาทตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เสนอ

                สาระสำคัญ

                1. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป

                2. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ได้ประกาศราชกิจจานุเบกษาเล่ม 142ตอนที่ 80 ก ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ

                3. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ นร 0503/33449 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2568 แจ้งว่า ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ได้ลงมติให้ห้วงเวลาของการออกเสียงประชามติตามที่กฎหมายกำหนดใกล้เคียงกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดไว้ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 หากกำหนดวันออกเสียงประชามติเป็นวันเดียว กับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป คือ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 จะเป็นการประหยัดและใช้งบประมาณแผ่นดินโดยคุ้มค่า เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนมากที่สุด รวมทั้งเป็นการช่วยลดภาระของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ต้องดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่แตกต่างกันด้วย จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 9 วรรคสอง (2) ประกอบมาตรา 11 วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดวันออกเสียงประชามติเป็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 โดยให้ส่งคำถามในการออกเสียงประชามติครั้งที่หนึ่งเพื่อให้ความเห็นชอบการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง คือ “ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” ซึ่งเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 อีกทั้งยังเป็นการอนุมัติให้เป็นไปตามมติรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568

                4. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ลต 0004/24115 ลงวันที่19 ธันวาคม 2568 ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไป และการออกเสียงประชามติที่กำหนดวันออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตังทั่วไป

                5. คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ลงมติอนุมัติหลักการการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งตามความเห็นของสำนักงบประมาณและให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไป และการออกเสียงประชามติที่กำหนดวันออกเสียงประชามติในวันเดียวกับ วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป       

17. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2568

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. ในคราวการประชุม กนป. ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) เป็นประธาน ที่ประชุมได้มีมติสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

เรื่องมติ กนป.
(1) ขอความร่วมมือกระทรวงพลังงาน (พน.)พิจารณาปรับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก บี 5 เป็น บี 7– ขอให้ พน. เร่งทบทวนหลักเกณฑ์การพิจารณาปรับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มที่จะเพิ่มขึ้น- ขอความร่วมมือ พน. พิจารณาปรับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว จาก บี 5 เป็น บี 7 ตามมติ กนป. เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม2568 เพื่อเป็นมาตรการรองรับในช่วงที่ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันจะออกสู่ตลาดมากตั้งแต่เดือนมีนาคม – กรกฎาคม 2569 (การปรับเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นการใช้กลไกการดำเนินงานตามภารกิจปกติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสนับสนุนในการชดเชยน้ำมันดีเซล)- ขอให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาหามาตรการหรือแนวทางผลักดันการส่งออก น้ำมันปาล์ม- ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาหาแนวทางการพัฒนาสินค้ามูลค่าสูงจากปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และแนวทางการขับเคลื่อนการเพิ่มมูลค่าปาล์มนำมันและน้ำมันปาล์ม- มอบหมายฝ่ายเลขานุการ กนป. นำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบ
(2) ผลการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มเห็นชอบให้ทบทวนองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการจัดทำโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม สำหรับผู้ทำหน้าที่ประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการ และเลขานุการ ให้เป็นไปตามความเห็นชอบของประธาน กนป. โดยมอบหมายฝ่ายเลขานุการ กนป. ประสานประธาน กนป. เพื่อยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ และนำเรียนประธาน กนป. เพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
(3) ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543สนับสนุนการรับซื้อน้ำมันไบโอดีเซล (บี 100) ตามราคาเสนอแนะจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พน.รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการของ พน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ให้รับซื้อน้ำมันไบโอดีเซล (บี 100) ตามราคาเสนอแนะจาก สนพ. ซึ่ง สนพ. อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคาไบโอดีเซลอ้างอิงเพื่อให้สามารถใช้เป็นแนวทางอ้างอิงราคาซื้อขายในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรับทราบข้อร้องเรียนของภาคเอกชนโดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กนป. ส่งเรื่องร้องเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
(4) การเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มภายใต้กรอบการค้าระหว่างประเทศ ปี 2569 – 2571เห็นชอบให้เปิดตลาดและบริหารการนำเข้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม คราวละ 3 ปี (ปี 2569 – 2571) โดยให้เป็นไปตามข้อผูกพันของทุกกรอบการค้าและมีการบริหารการนำเข้าเช่นเดียวกับกรอบองค์การการค้าโลก คือ ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้มีสิทธินำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร ยกเว้นกรอบการค้าไทย – ออสเตรเลีย และไทย – นิวซีแลนด์ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กนป. แจ้งมติให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศจะได้ดำเนินการออกประกาศ/ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการนำเข้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มได้อย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ผู้ประกอบการมีวัตถุดิบใช้ในอุตสาหกรรมต่อไป [การเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มภายใต้กรอบการค้าระหว่างประเทศได้มีการกระทำมาอย่างต่อเนื่องคราวละ 3 ปี ซึ่งการเปิดตลาดและบริหารนำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ครั้งล่าสุด (ปี 2566 -2568) จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 จึงจำเป็นต้องมีการเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มและการบริหารการนำเข้าเป็นไปตามแนวทางเดิม]
(5) การปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ(คณะอนุกรรมการฯ)– เห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอโดยในองค์ประกอบคณะอนุกรรมการได้เพิ่มผู้แทนสภาเกษตรกรจังหวัดชุมพร
และนายกสมาคมการค้าผู้ผลิตโอลีโอ เคมี เป็นอนุกรรมการ และมอบหมาย ฝ่ายเลขานุการ กนป. ยกร่างคำสั่ง กนป. แก้ไขคำสั่งแต่งตั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ และนำเสนอประธาน กนป. ลงนามต่อไป- มอบหมายให้นำประเด็นการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากวัสดุเหลือใช้จากปาล์มน้ำมัน เช่น ทะลายปาล์มเปล่า ไปพิจารณาในคณะอนุกรรมการฯ

18. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติพ.ศ. 2565 ในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 2568

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 2568 (รายงานความคืบหน้าฯ) และเห็นชอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการในระยะต่อไปให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. ตร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

                สาระสำคัญของเรื่อง

              สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานว่า

                1. พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2565 โดยมาตรา 165 บัญญัติให้ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (ภายในวันที่ 16 ตุลาคม 2567) ให้ประธานกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ประธาน ก.พ.ร.) เชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและหัวหน้าหน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติการตามกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาร่วมกันพิจารณาเพื่อดำเนินการให้หน่วยงานดังกล่าว รับผิดชอบในการป้องกันและปราบปราม การสืบสวน และการสอบสวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายนั้น ๆ ทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่จะได้ตกลงกันโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการบูรณาการในการปฏิบัติหน้าที่ และการแบ่งเบาภารกิจของ ตร. และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบทุกสามเดือน และที่ผ่านมาสำนักงาน ก.พ.ร. ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้วซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว จำนวน 7 ครั้ง (ตามข้อ 5.4)

                2. สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตาม มาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 2568 โดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้รายงานผลการดำเนินการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้กรอบกฎหมาย 11 ฉบับ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

                        2.1 ทส. กษ. และ อก. ได้รายงานผลการดำเนินการตามคู่มือ หรือแนวทางการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่รับโอนภารกิจจาก ตร. ดังนี้

หน่วยงานผลการดำเนินการ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในช่วงเดือนตุลาคม 2567 – กันยายน 2568 ทส. ได้ดำเนินการตามภารกิจภายใต้กรอบกฎหมาย 8 ฉบับ เกี่ยวกับการป้องกัน
การปราบปราม การสืบสวน (ก่อนการจับกุม) โดยสามารถดำเนินคดีได้ จำนวน 3
,696 คดี ซึ่งส่วนใหญ่สามารถดำเนินการจับกุมโดยไม่ต้อง
ร้องขอตำรวจเข้าร่วมการปฏิบัติภารกิจ ทั้งนี้ ยังมีบางคดีที่อยู่นอกเหนืออำนาจของหน่วยงานที่จะดำเนินการได้เอง จึงต้องขอความอนุเคราะห์จากตำรวจ
 เช่น การเข้าปฏิบัติงานที่ต้องประสานหน่วยงานความมั่นคงและกองกำลังติดอาวุธของประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณพื้นที่ชายแดน
การตั้งจุดตรวจในพื้นที่เสี่ยงหรือตั้งอยู่นอกเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยงาน การแสวงหาหลักฐาน (การล่อซื้อ) จากผู้กระทำความผิดที่อยู่นอกเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานการกระทำความผิด
ที่เกี่ยวข้องกับความผิดตามกฎหมายอื่น ซึ่งจำเป็นต้องร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อออกหมายค้น หมายเรียก หรือหมายจับ การจัดการของกลางบางประเภท เช่น อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด รวมถึงการตรวจพิสูจน์ของกลาง และการประสานเพื่อขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.)ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน 2568 กษ. ได้ดำเนินการตามภารกิจภายใต้กฎหมายว่าด้วยการประมง 2 ฉบับ โดยสามารถดำเนินคดีได้ จำนวน 313 คดี ทั้งนี้ ในการปฏิบัติงาน ผู้กระทำความผิดได้มีการต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการจับกุม เช่น
นำเรือประมงที่ใช้ในการกระทำความผิดแล่นเข้าชนเรือตรวจการประมงของพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งปิดบัง ซ่อนเร้น หรือทำลายหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น ผู้ต้องหาโยนเครื่องมือทำการประมง ที่ใช้ในการกระทำความผิดลงน้ำเพื่อทำลายหลักฐาน
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน 2568 อก. ได้ดำเนินการตามภารกิจภายใต้ พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 โดยสามารถดำเนินคดีได้ จำนวน 8 คดี ได้แก่(1) อก. ดำเนินการเอง จำนวน 5 คดี เช่น การลักลอบขุดหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน ชนิดหินเกรย์แวก การลักลอบแต่งหางแร่ดีบุก และ(2) อก. ดำเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 คดี เช่น การลักลอบสำรวจแร่การลักลอบทำเหมืองแร่เหล็กที่บริเวณพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ

                        2.2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดยคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาถ่ายโอนหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้แก่หน่วยงาน ผู้รับผิดชอบตามกฎหมาย พ.ศ. …. แล้ว (เดิมชื่อ ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ….) ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับการปรับโครงสร้างและอัตรากำลังของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และการจัดทำแผนพัฒนาเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจท้องที่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินภารกิจด้านการสอบสวนคดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของ ตร.

                3. การดำเนินการในระยะต่อไป

                        3.1 ให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เร่งปรับโครงสร้างและอัตรากำลังของ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.)โดยเกลี่ยอัตรากำลังไปปฏิบัติงานในภารกิจที่ขาดแคลนอัตรากำลัง หรือนโยบายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาถ่ายโอนหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้แก่หน่วยงาน ผู้รับผิดชอบตามกฎหมาย พ.ศ. …. ตามขั้นตอนการเสนอกฎหมายให้แล้วเสร็จ รวมทั้งจัดทำแผนพัฒนาเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจท้องที่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินภารกิจ ด้านการสอบสวนคดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ให้แล้วเสร็จ และรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงาน ก.พ.ร. ทราบ ภายในเดือนมกราคม 2569 เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                        3.2 ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) รายงานผลการดำเนินการตามคู่มือ หรือแนวทางการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สำนักงาน ก.พ.ร. ทราบ ภายในเดือนมกราคม 2569 เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

ต่างประเทศ

19. เรื่อง รายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย สมัยที่ 16

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย (อนุสัญญาฯ) สมัยที่ 16 ระหว่างวันที่ 2 – 13 ธันวาคม 2567 ณ กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย และประเด็นสำคัญที่จะต้องดำเนินการที่สอดคล้องกับผลการประชุม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

                1. ซาอุดีอาระเบียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ 16 และการประชุมคู่ขนานขององค์กรย่อยต่าง ๆ ของอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 2 – 13 ธันวาคม 2567 ณ กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย
ซึ่งเป็นเวทีที่รัฐภาคีสมาชิกได้มีส่วนร่วมเสนอข้อคิดเห็นในการพัฒนาการดำเนินงาน รวมทั้งการร่วมจัดกิจกรรม
เพื่อเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานด้านวิชาการและอื่น ๆ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติในขณะนั้น เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ซึ่งผลการประชุมมีสาระสำคัญ
สรุปได้ ดังนี้

                     1.1 การประชุมคณะกรรมการกลาง ที่ประชุมฯ ได้ติดตามการประเมินผลการดำเนินงานในช่วงกลางของแผนยุทธศาสตร์ของอนุสัญญาฯ ปี 2561 – 2573 โดยขอความร่วมมือจากประเทศภาคีและ
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเสริมสร้างการแบ่งปันข้อมูลและการประสานงานในระดับชาติเกี่ยวกับการเตรียมการและการติดตามผลการประชุมของอนุสัญญาฯ รวมถึงการบูรณาการการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ เข้าสู่ระบบนโยบายการวางแผน และการจัดทำแผนงบประมาณของประเทศ อีกทั้งได้เรียกร้องให้สำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาฯ แปลงแนวคิดเกี่ยวกับความสมดุลของการจัดการทรัพยากรไปสู่เครื่องมือที่เป็นรูปธรรม กระชับ และเข้าใจได้ง่ายสำหรับผู้กำหนดนโยบายและประชาชนทั่วไป ตลอดจนขอความร่วมมือจากประเทศสมาชิกอื่น ๆ องค์กรการเงินระหว่างประเทศและหน่วยงานอื่น ๆ พิจารณาให้การสนับสนุนทางการเงินหรือทรัพยากรในรูปแบบอื่นสำหรับความร่วมมือระดับโลก
ระดับภูมิภาค และระดับทวิภาคีเพื่อจัดการกับความเสื่อมโทรมของที่ดิน และภัยแล้ง นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้ให้ความสำคัญด้านการอพยพย้ายถิ่นฐาน ภัยแล้ง เพศ กรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยได้มีมติให้ประเทศภาคีส่งเสริมการใช้ที่ดินที่ผสมผสานการจัดการที่ดินและระบบนิเวศอย่างยั่งยืน และหารือเกี่ยวกับการกำหนดกรอบนโยบายในด้านการคือครองที่ดินภายใต้อนุสัญญาฯ เนื่องจากหลายประเทศยังคงประสบปัญหาความไม่มั่นคงในการถือครองที่ดินซึ่งกระทบกับการพัฒนาประเทศ

                        1.2 การประชุมคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ประชุมได้ติดตามผลการดำเนินงานของคณะกรรมการร่วมทางวิทยาศาสตร์และนโยบายปี 2565 – 2567 ซึ่งได้ส่งเสริมให้ประเทศภาคี
สร้างสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อระบบการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน เช่น การดำเนินการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการวางแผน ดำเนินการ ติดตาม และประเมินผลเพื่อยืนยันการมีส่วนร่วมของผู้ถือสิทธิในที่ดินและผู้ใช้ที่ดินโดยชอบธรรมทั้งหมด การแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายความสมดุลของการจัดการทรัพยากรที่ดิน รวมถึงขอความร่วมมือองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก องค์กรหุ้นส่วนน้ำโลก และพันธมิตรทางเทคนิคและวิทยาศาสตร์อื่น ๆ  เพื่อบูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับความแห้งแล้งเข้าสู่ระบบการติดตามและเตือนภัยล่วงหน้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนใช้โครงการบูรณาการการจัดการภัยแล้งเพื่ออำนวยความสะดวกในการพัฒนามาตรฐานและแนวทางปฏิบัติตามหลักวิทยาศาสตร์สำหรับการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมจากความแห้งแล้งและภัยแล้งที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้จะส่งเสริมให้ประเทศภาคีเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ที่ดินและการฟื้นฟู โดยเฉพาะในที่ดินที่มีผลิตภาพต่ำ เสื่อมโทรม หรือไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับการเกษตร และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ขอความร่วมมือจากหุ้นส่วนทางวิทยาศาสตร์ การเงิน เทคนิค และองค์กรภาคประชาสังคม ช่วยเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้และปฏิบัติแบบสหวิชาการในการเชื่อมโยงที่ดินภูมิอากาศ และภัยแล้ง รวมทั้งขอความร่วมมือองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติและหุ้นส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้คำแนะนำแก่ประเทศภาคีเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน การกำกับดูแลที่มีความรับผิดชอบ รวมถึงการส่งเสริมพืชผลและระบบการเก็บเกี่ยวที่ยั่งยืนและหลากหลายเพื่อปรับปรุงความมั่นคงทางอาหารในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม

                        1.3  การประชุมคณะกรรมการทบทวนการดำเนินงานตามอนุสัญญาฯ ที่ประชุมฯมีการประเมินผลการดำเนินการของอนุสัญญาฯ ตามวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ที่ 1 – 4 ของกรอบยุทธศาสตร์ปี ค.ศ. 2018 – 2030 ของอนุสัญญาฯ สรุปได้ ดังนี้

วัตถุประสงค์สาระสำคัญ
วัตถุประสงค์ที่ 1 การปรับปรุงสภาพของระบบนิเวศ
ที่ได้รับผลกระทบ การต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย/การเสื่อมสภาพของดินการส่งเสริม
การจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนและการมีส่วนร่วม
ต่อความสมดุลของการจัดการทรัพยากรที่ดิน
ที่ประชุมฯ มีมติเรียกร้องให้ประเทศภาคียับยั้งการทำลายพื้นที่ธรรมชาติ และหยุดหรือชะลอการยึดที่ดินและ
การปิดทับผิวดินรวมถึงให้มีการจัดสรรทุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลกเพื่อการบันทึกข้อมูล โดยเฉพาะ
เรื่องอินทรีย์คาร์บอนในดิน
วัตถุประสงค์ที่ 2 การปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่
ของประชากรที่ได้รับผลกระทบ 
ที่ประชุมฯ เห็นว่า ควรคำนึงถึงความจำเป็นของนโยบายและมาตรการในมิติชายหญิง โดยให้ผู้หญิงและผู้ชาย
มีส่วนร่วมในการวางแผน ตัดสินใจ และดำเนินการใน
ทุกระดับได้อย่างเต็มที่รวมถึงเพิ่มบทบาทให้แก่ผู้หญิง เด็กผู้หญิง และเยาวชน
วัตถุประสงค์ที่ 3 การบรรเทา ปรับตัวและจัดการ
กับผลกระทบของภัยแล้ง เพื่อส่งเสริมการปรับตัว
ของกลุ่มเปราะบางและระบบนิเวศ 
ที่ประชุมฯ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตั้งเป้าหมาย
ที่วัดผลได้การพัฒนานโยบายและแผนเชิงรุก/ผสมผสาน เพื่อให้เกิดการจัดการความเสี่ยงแบบผสมผสานได้อย่างครอบคลุมและมีส่วนร่วม
วัตถุประสงค์ที่ 4 การสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลกผ่านการดำเนินการของอนุสัญญาฯ
ที่มีประสิทธิผล   
ที่ประชุมฯ ขอให้สำนักเลขาธิการว่าด้วยการต่อต้าน
การแปรสภาพเป็นทะเลทรายร่วมมือกับสำนักเลขาธิการของอนุสัญญาว่าว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลากหลายทางชีวภาพจัดระเบียบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเทคนิคและให้ประเทศภาคีและผู้สังเกตการณ์ส่งความคิดเห็นให้แก่
ผู้ประสานงานเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเทคนิคและทางเลือกในการลดภาระการรายงาน โดยระบุตัวบ่งชี้
ที่เชื่อมโยงกับการจัดการกับทะเลทรายความเสื่อมโทรมของดิน และภัยแล้ง รวมถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

                2. ประเด็นสำคัญที่จะต้องดำเนินการ โดยกรมพัฒนาที่ดินในฐานะหน่วยงานหลักในการดำเนินงานอนุสัญญาฯ จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการที่สำคัญ ดังนี้

                        2.1 ปรับปรุงรูปแบบการจัดทำรายงานแห่งชาติและแผนปฏิบัติการแห่งชาติในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป้าหมายความสมดุลของการจัดการทรัพยากรที่ดิน รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของการดำเนินการร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวแบบบูรณาการให้กับหน่วยงานภายใต้คณะกรรมการอนุสัญญาฯ รวมทั้งภาคีเครือข่ายทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

                        2.2 คำนึงถึงความจำเป็นของนโยบายและมาตรการที่ให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีส่วนร่วมในการวางแผนตัดสินใจดำเนินการในทุกระดับได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิผลรวมถึงเพิ่มการสร้างบทบาทให้แก่ผู้หญิง เด็กผู้หญิง และเยาวชน

                        2.3 พิจารณาเสนอชื่อผู้ประสานงานหลักด้านกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประสานงานเกี่ยวกับการบูรณาการสู่แผนและกิจกรรมในประเทศให้มีประสิทธิภาพ

                        2.4 พัฒนาแผนงานโครงการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นที่ ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความสมดุลของการจัดการทรัพยากรที่ดินอย่างเป็นรูปธรรม

                3. การเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ทำให้เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งการเสนอความเห็นเพื่อพัฒนาการดำเนินงานของอนุสัญญาฯ จากประสบการณ์และปัญหาอุปสรรคที่พบ ตลอดจนข้อเสนอในการพัฒนาการดำเนินงานในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการกำหนดข้อตัดสินใจซึ่งเป็นกลไกหลักของการดำเนินงานตามอนุสัญญาฯ อีกทั้งยังสามารถนำข้อตัดสินใจดังกล่าวมาใช้ขับเคลื่อนงานอนุสัญญาฯ ภายในประเทศ เช่น การปรับปรุงรูปแบบการจัดทำรายงานแห่งชาติและแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน

แต่งตั้ง

20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณ เสนอแต่งตั้ง นางสาวณัฐมน จินตรักษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณเชี่ยวชาญ) ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ และรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

21. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ รวม 6 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้

                1. นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร             ประธานกรรมการ

                2. นายสัญชัย นิลสุวรรณโฆษิต         กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                3. นายธัญญานุภาพ อานันทนะ         กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                4. นายสันติ แม้นศิริ                  กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                5. นายวศิน สุวรรณรัตน์                   กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                6. นางศศิวิมล มีอำพล                       กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

ของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 256

22. ทราบเพื่อเป็นข้อมูล 2 เรื่อง โครงการส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปี พ.ศ. 2569

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร กระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ ประจำปี พ.ศ. 2569 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

                กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชนในสังกัดได้พิจารณาแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบที่เหมาะสมเพื่อเป็นการส่งมอบความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่/ของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2569  ให้แก่เกษตรกรและประชาชน เพื่อเป็นการส่งมอบผลิตภัณฑ์การเกษตรคุณภาพ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้เกิดการใช้จ่าย สร้างรายได้เพิ่ม และลดรายจ่ายครัวเรือนให้กับเกษตรกรและประชาชนเพื่อส่งมอบความสุขจากการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สวยงาม พร้อมกับได้รับความรู้ทางด้านการเกษตรโดยดำเนินการในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้กิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม (ประชาชนและเกษตรกรที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จำนวน ทั้งสิ้น 407,564 ราย คิดเป็นมูลค่ารวม 27,734,760 บาท) โดยมีรายละเอียดดังนี้

                1. มอบของขวัญเกษตรกรไทย มีกิน มีใช้ มีรายได้พอเพียง จำนวนเกษตรกร/ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ จำนวน 17,304 ราย 5,322 ครัวเรือน พื้นที่ได้รับประโยชน์ 6,371.25 ไร่ คิดเป็นมูลค่า 22,401,360 บาท โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น 1) มอบพันธุ์สัตว์น้ำ จำนวน 50 ถุง ถุงละ 1,000 ตัว/ราย ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด จำนวน 37 จังหวัด (เช่น จังหวัดพิจิตร อุดรธานี ตราด พระนครศรีอยุธยา และนราธิวาส) 2) โครงการปรับปรุงหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร เช่น อำเภอจอมทอง เชียงดาว ไชยปราการ ดอยเต่า และดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ 3) ผ่าตัดทำหมันควบคุมประชากรสุนัขและแมว ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า การให้บริการปรึกษาด้านสุขภาพสัตว์ เช่น จังหวัดพะเยา ราชบุรี ฉะเชิงเทรา เชียงใหม่ และนราธิวาส 4) โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2569 โครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขสร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” โครงการหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ให้คำปรึกษาการควบคุมโรคระบาดในสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ การให้วัคซีน ทำหมันสัตว์ ถ่ายทอดองค์ความรู้ การเลี้ยงสัตว์ แจกเวชภัณฑ์ และจำหน่ายไข่ไก่ราคาถูก เช่น จังหวัดระยอง นครศรีธรรมราช อุทัยธานี และมุกดาหาร 5) ส่งมอบโครงการฝายทดน้ำ และหรือท่อระบบส่งน้ำ อาคารชลประทาน และโครงการพนังกั้นน้ำ เช่น จังหวัดชุมพร กำแพงเพชร และนราธิวาส และ 6) มอบปุ๋ย น้ำดื่ม เครื่องดื่มชูกำลัง แก่ประชาชนและเกษตรในพื้นที่ (มอบปุ๋ยอินทรีย์จากผักตบชวา และมอบน้ำดื่มชลประทาน (500 ml)) เช่น โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางนรา จังหวัดนราธิวาส โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลล่าง สำนักงานชลประทานที่ 8 จังหวัดศรีสะเกษ และโครงการก่อสร้างสำนักงานชลประทานที่ 4 จังหวัดสุโขทัย

                2. เพิ่มสุขปีใหม่ เที่ยวทั่วไทย สุขใจไปกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย
2 กิจกรรมย่อย

                        2.1 เปิดสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรให้ประชาชนเข้าชมฟรี/ลดค่าบริการในช่วงเทศกาล จำนวนประชาชนที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ จำนวน 30,520 ราย คิดเป็นมูลค่ารวม 500,000 บาท โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น 1) เยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำในสังกัดกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ6 รอบ พระชนมพรรษา ได้แก่ จังหวัดพิจิตร พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ และสมุทรสาคร2) กิจกรรม“Silk & Chill ทริปนี้มีไหม” เปิดแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรด้านหม่อนไหมในชุมชน จำนวน11 จังหวัด 3) กิจกรรมนั่งรถรางชมฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค จังหวัดสระบุรี โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตนม ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ทดลองรีดนมแม่โค ป้อนนมลูกวัว ชมการแสดงคาวบอย กิจกรรมขี่ม้า ขับรถ ATV ร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม และ Milk Land Café และ 4) กิจกรรมต้นคริสต์มาส “WISDOM KING CHRISTMAS TREE” ซึ่งจัดทำด้วยเครื่องจักสานไทย บริเวณประติมากรรมควายไทย “ดูดู้” ท่องเที่ยวเชิงเกษตรเส้นทางเรียนรู้สนองพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา ต่อยอด “Wisdom King Farm” เพลิดเพลินกับกิจกรรมและแหล่งเรียนรู้มากมาย อาทิ ร้านกาแฟอินทรีย์ สะพานไม้สีสันสวยงามเดินชมวิวท่ามกลางทุ่งนา การทำนาอินทรีย์และกิจกรรมการทำนาโยนกล้า และนั่งรถนำชมเที่ยวเพลินชมแปลงเกษตรกับกิจกรรมท่องเที่ยววิถีเกษตรไทย เปิดให้เข้าชมนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์กษัตริย์ เกษตร (Mado Pavilion) และกิจกรรม Workshop D.I.Y. ภายในพิพิธภัณฑ์ในหลวงรักเรา เช่น กิจกรรมตามล่าตราประทับ ร้อยลูกปัด ทำพวงกุญแจจากฝาขวดพลาสติก โดยสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน)

                        2.2 เปิดสถานที่ราชการ ปรับภูมิทัศน์รองรับนักท่องเที่ยว เข้าเยี่ยมชมในวันหยุดช่วงเทศกาล บริการจุดพักรถ  อาหารว่างและเครื่องดื่ม ชมภูมิทัศน์ และศึกษาเรียนรู้ด้านการเกษตร โดยมีประชาชนและเกษตรกรที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ จำนวน 330,090 ราย คิดเป็นมูลค่ารวม 2,185,000 บาท โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น 1) เปิดให้เข้าชมทัศนียภาพของเขื่อนต่าง ๆ เช่น อ่างเก็บน้ำห้วยสำนักไม้เต็ง จังหวัดราชบุรี เขื่อนแม่กลอง จังหวัดกาญจนบุรี เขื่อนน้ำอูน จังหวัดสกลนคร เขื่อนนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา จังหวัดปราจีนบุรี และอ่างเก็บน้ำปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2) เยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด จำนวน 37 จังหวัด และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ได้เแก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งพังงา และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งกระบี่ 3) ชมการแปรรูป การผลิตเส้นใยและหัตถกรรมจากเฮมพ์ จิบชาดอกกาแฟ ชิมกาแฟคั่วมือ รวมถึงการสาธิตการคั่วกาแฟแบบคั่วมือ สนับสนุนต้นพันธุ์พืชและเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัว ถ่ายภาพแปลงไม้ดอก DOAE และให้บริการความรู้ด้านการผลิตและขยายพันธุ์พืช 4 สายการผลิต เช่น จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตรัง นครศรีธรรมราช สุพรรณบุรี อุดรธานี และขอนแก่น 4) สานศิลป์ สานสุข สานใจไทย ถวายพระพันปีหลวง ณ บางไทร ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เช่น กิจกรรมเทิดพระเกียรติ การตักบาตร ข้าวสาร อาหารแห้ง และ การบริจาคเลือดเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล กิจกรรมบริการตรวจสุขภาพฟรี และกิจกรรมเด็กไทยใส่ใจงานศิลป์ เปิดให้ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร ให้เยี่ยมชมศาลา พระมิ่งขวัญ อาคารแสดงผลิตภัณฑ์ด้านงานศิลปหัตถกรรมกว่าแสนชิ้น เยี่ยมชมแผนกฝึกอบรมทั้ง 12 แผนก สักการะบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิมพันพระหัตถ์ จากไม้จันทร์เหลืองอายุกว่า 1,000 ปี ณ ศาลาโรงช้าง และชมทัศนียภาพแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงที่กว้างที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ท่าชัยยุทธ 5) เปิดบ้านพักพิงสุนัขจรจัดให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วม ทำกิจกรรมในบ้านพักพิงสุนัขจรจัดภูเก็ต เช่น กิจกรรมบริจาคอาหารให้สุนัขจรจัด จูงสุนัขภายในบ้านพักพิง ทำความสะอาดและปรับภูมิทัศน์บริเวณบ้านพักพิงสุนัขจรจัด และ 6) เปิดให้บริการรถรางศึกษาดูงานภายในพื้นที่ Buffalo Factory Farm จังหวัดสมุทรสาคร และเปิดให้บริการรถรางศึกษาดูงานภายในพื้นที่ฟาร์มผึ้งมิตรภาพ จังหวัดสมุทรสาคร

                3. เสริมพลังปีใหม่ จำหน่ายสินค้าราคาพิเศษ สินค้าเกษตรคุณภาพ จำนวนเกษตรกร/ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ 29,650 ราย มูลค่าสินค้า/รายได้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 2,648,400 บาท จัดหาสินค้าดี มีคุณภาพเพื่อจำหน่ายให้ประชาชน และเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรให้แก่เกษตรกร เช่น จำหน่ายผลิตภัณฑ์ประมงคุณภาพจากเกษตรกรในราคาพิเศษโดยจัดเป็นชุดของขวัญสวัสดีปีใหม่ จำหน่ายในร้าน Fisherman Shop @ BangKhen และทางแพลตฟอร์ม Fisheries Shop by Fisherman จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร เครือข่ายของกรมปศุสัตว์ ณ ร้านค้าสวัสดิการกรมปศุสัตว์ Livestock Farm Outlet ทาง Offline ร้านค้าสวัสดิการกรมปศุสัตว์ Livestock Farm Outlet กรุงเทพ และแคมเปญ “ส่งสุขปีใหม่ By ของขวัญชิ้นเอก” ให้แก่ประชาชน ผ่านช่องทางเว็บไซต์ตลาดเกษตรกรออนไลน์.com โดยการรวบรวมและจัดเตรียมข้อมูลสินค้า จังหวัดคัดเลือกสินค้าเด่น/สินค้าชิ้นเอก มีความเป็นอัตลักษณ์

              4. ระยะเวลาดำเนินการ : ระหว่างเดือนธันวาคม 2568 – มกราคม 2569

              5. งบประมาณ : งบประมาณประจำปี พ.ศ. 2569 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

              6. หน่วยงานร่วมดำเนินการ : ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวม 22 หน่วยงาน

              7. ผลที่คาดว่าจะได้รับ : 1) เกษตรกรและประชาชนได้รับความสุข สร้างรายได้เพิ่ม และลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน 2) เกษตรกรและประชาชนได้รับรู้ผลการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมีทัศนคติที่ดีในการประสานความร่วมมือขับเคลื่อนงานพัฒนาไปพร้อมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

Leave a comment