เท่าพิภพ กลับคำพูด สมัคร สส กทม เขต 33 แทน บุญฤทธิ์

เท่าพิภพ กลับคำพูด สมัคร สส กทม เขต 33 แทน บุญฤทธิ์

เท่าพิภพ กลับคำพูด สมัคร สส กทม เขต 33 แทน บุญฤทธิ์

วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 09.43 น.

วันที่ 30 ธันวาคม 2568 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ว่าที่ผู้สมัคร สส.พรรคประชาชน เข้ายื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.กรุงเทพมหานคร เขต 33 แทนผู้สมัครคนก่อนที่ถูกแจ้งข้อหาในคดีฟอกเงิน โดยในการนี้ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมการบริหารพรรคประชาชน และ พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ได้ร่วมสังเกตการณ์การสมัครในครั้งนี้ด้วย

ในส่วนของเท่าพิภพ ระบุว่าสำหรับตนความกังวลได้หมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว การประชุมไพรแมรี่โดยสมาชิกพรรคและเพื่อนผู้สมัครทุกคนต่างเห็นเป็นเอกฉันท์ให้ตนได้มาทำหน้าที่ตรงนี้ ตนมั่นใจและได้พลังจากทุกคน ภารกิจนี้ไม่ใช่แค่สำหรับเขตบางกอกน้อยและบางพลัด แต่มันคือภารกิจของพรรคประชาชนทั้งประเทศ ที่จะทวงคืนความไว้วางใจ 

เท่าพิภพ

ตนพูดเสมอตั้งแต่เป็นผู้แทนมา 7 ปี ว่าทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของนักการเมืองคือความไว้วางใจจากประชาชน ในวันที่เราเสียมันไปแล้วไม่มีทางที่จะทวงคืนมันได้ เมื่อพรรคและทุกคนเห็นว่าตนเหมาะสมในการทวงความเชื่อใจนั้นกลับมา ตนก็พร้อมรับและพร้อมกลับมาทำหน้าที่ตรงนี้อีกครั้ง หมดเวลาที่จะลังเล เพียงหนึ่งวินาทีหรือหนึ่งวันที่เป็นเช่นนี้ไม่เป็นผลดีกับประเทศ หากประเทศยังถอยหลังไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเดินหน้ายากขึ้น ตนจึงแทบจะไม่ลังเลและใช้เวลาเพียง 8 วินาทีเท่านั้นในการตัดสินใจ

เท่าพิภพ กล่าวต่อไปว่า สำหรับชาวบางพลัดและบางกอกน้อย ตนยืนยันว่าพรรคประชาชนไม่ได้คิดว่าส่งใครมาลงก็จะชนะ ตนยังมีเรื่องที่ต้องพิสูจน์ให้ประชาชนในเขตเห็นว่าตนทำงานเต็มที่ และจะนำประสบการณ์และความมุ่งมั่นมารับใช้ประชาชนได้อย่างแน่นอน ตนมาที่นี่เพื่อการเปลี่ยนแปลง เป็นหนึ่งในทางเลือกให้ชาวบางกอกน้อยและบางพลัด เพื่อจะเข้าสภาไปลงมติให้ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อเปลี่ยนประเทศไทย

เท่าพิภพ

ในส่วนของพิจารณ์ ระบุว่าสิ่งที่กรณีนี้สะท้อนให้เห็น คือเมื่อพรรคประชาชนพบว่ามีผู้สมัครที่มีความเกี่ยวข้องกับการทุจริต แม้จะยังไม่ได้เป็นคำวินิจฉัยสูงสุดและยังคงเป็นผู้ถูกกล่าวหา แต่พรรคก็เปลี่ยนตัวผู้สมัครในทันที เพราะพรรคประชาชนไม่จำเป็นที่จะต้องปกป้องใคร และต้องการที่จะหาตัวผู้สมัครที่ดีที่สุดให้กับประชาชน

สิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือเมื่อพรรคประชาชนเป็นรัฐบาล มีจำนวน สส. ในสภาที่มากกว่ากึ่งหนึ่งและมีรัฐมนตรี บทบาทในการตรวจสอบภายในพรรคยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้แทนราษฎรในสภา รัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีของพรรคประชาชน จะไม่ทุจริตและจะทำงานเพื่อตอบโจทย์ประชาชนจริงๆ ดังนั้นตนยืนยันอีกครั้งว่าคำว่า “มีส้มไม่มีเทา” ไม่ได้เป็นแค่สโลแกนหาเสียง แต่ออกมาจากวิธีคิดและวิธีการทำงานของของพรรคประชาชนจริงๆ

เท่าพิภพ

พิจารณ์ ยังกล่าวต่อไปว่า หลังจากที่เห็นเท่าพิภพโพสต์ว่าต้องการลงสมัครแทน โดยส่วนตัวก็ค่อนข้างดีใจที่เท่าพิภพตัดสินใจที่จะเสนอตัวเข้ามา มีหลายคนที่เสนอตัวเข้ามา แต่ภายใต้เวลาก่อนที่จะปิดรับสมัครในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 คำถามคือคณะกรรมการสัมภาษณ์คัดสรร รวมถึงกรรมการบริหารพรรคจะมีเวลาเพียงพอหรือไม่ในการตรวจสอบผู้ที่สนใจเข้ามาเป็นตัวแทน

แต่สำหรับเท่าพิภพที่ร่วมงานกันมา พรรคประชาชนค่อนข้างมั่นใจ และสิ่งที่ที่ตนคิดก็ตรงกับกรรมการคัดสรรและสมาชิกในการทำไพรแมรี่ ก็ต้องขอบคุณเท่าพิภพอีกครั้งที่เสียสละ แม้จะมีประชาชนบางส่วนที่อาจต่อว่าต่อขานว่าเป็นการกลับคำพูดหรือไม่ แต่สำหรับตนแล้วนี่เป็นการเข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้กับพรรคในเวลานี้

เท่าพิภพ

พิจารณ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีดังกล่าวจะมีผลกระทบในเชิงการรณรงค์หรือไม่นั้น ตนไม่สามารถตอบแทนประชาชนได้ แต่สิ่งที่พรรคประชาชนกระทำทันทีภายในเวลา 3 ชั่วโมงหลังรับทราบกรณีนี้ คือการเร่งหารือและตัดสินใจในการเปลี่ยนตัวผู้สมัครทันที ตนอยากให้ประชาชนมองเห็นถึงการกระทำและความจริงใจของพรรคประชาชน จริงอยู่ที่พรรคพยายามออกแบบกระบวนการคัดสรรผู้สมัครให้ดีขึ้นทุกการเลือกตั้ง ในรอบนี้ก็มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม เครดิตบูโร นำชื่อผู้สมัครไปประกาศในเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนเข้ามาแสดงความเห็น

แต่ด้วยเงื่อนเวลาและกระบวนการที่พรรคทำ กับวันที่มีการออกหมายจับมาภายหลัง จึงทำให้ไม่สามารถรู้ได้ แต่เมื่อรู้ก็ทำทันที แม้ตัวผู้ถูกกล่าวหาจะยังไม่มีการวินิจฉัยเป็นถึงที่สุด แต่ในเมื่อมีความเคลือบแคลงสงสัยแล้วก็ต้องเปลี่ยนตัวในทันที ตนอยากฝากถึงประชาชนทุกคนว่า “มีส้มไม่มีเทา” ไม่ใช่แค่การหาเสียงเลือกตั้ง และแม้จะเข้าสู่หลังการเลือกตั้งแล้ว แต่พรรคประชาชนก็จะทำเช่นเดียวกันกับ สส. และคณะรัฐมนตรีของพรรคด้วย

เท่าพิภพ

ด้านพรรณิการ์ ระบุว่า สำหรับพรรคการเมือง สิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือความเชื่อใจที่ประชาชนมีให้ เหตุการณ์นี้หากจะบอกว่าไม่กระทบเลยก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พรรคประชาชนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากขอโทษประชาชนที่ทำให้ผิดหวัง เรื่องนี้พรรคก็เจ็บปวดมาก แต่หากถามว่ากรณีนี้ทำให้คำว่า “มีส้มไม่มีเทา” ไม่เป็นจริงหรือไม่ ตนกลับคิดว่าเรื่องนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดในการทำให้ประชาชนเห็นว่า “มีส้มไม่มีเทา” คืออะไร

“มีส้มไม่มีเทา” ไม่ใช่เรื่องของคนดีคนชั่ว ไม่ใช่เรื่องของพรรคเทพพรรคมาร “มีส้มไม่มีเทา” ไม่ใช่การเมืองศีลธรรม แต่คือการมีระบบที่ดีที่ตรวจสอบแบบไม่เกรงใจใคร วันนี้ทุกคนเห็นแล้วว่าการทุจริตและทุนเทาเข้ามาเต็มเมืองเต็มสภาเพราะเรื่องของพวกพ้องและเครือข่ายอุปถัมภ์ เมื่อจะตรวจสอบก็ติดว่าคนนั้นเป็นลูกคนนี้ คนนี้เป็นพ่อคนนั้น คนนั้นเป็นนายทุนของคนนี้ สุดท้ายก็ไม่เกิดการตรวจสอบขึ้น

เท่าพิภพ

พรรณิการ์กล่าวต่อไปว่าวันนี้พรรคประชาชนทำให้เห็นแล้วว่า “มีส้มไม่มีเทา” คือระบบที่เมื่อตรวจเจอแล้วจัดการทันที ส่วนต่อขยายของ “มีส้มไม่มีเทา” คือ “เมื่อมีเทาเราจัดการทันที” นี่คือข้อพิสูจน์ว่าไม่ใช่แค่การหาเสียงแต่พิสูจน์ด้วยการกระทำ ว่าพรรคประชาชนหรือต่อไปหากเป็นรัฐบาลประชาชน เงื่อนไขคือใครจะมาร่วมคณะรัฐมนตรี แม้มีข้อครหาเพียงเล็กน้อย น่าสงสัยว่าเกิดการทุจริตขึ้น หรือไปผูกพันกับเรื่องสีเทาก็ต้องเอาออกก่อน

ในกรณีของผู้สมัครรายเดิมนี้ก็เช่นกัน พรรคประชาชนทำเกินกว่ากฎหมาย แม้จะยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ แต่พรรคประชาชนก็ตัดสินใจเอาออกก่อน เพราะมาตรฐานของพรรคการเมืองต้องอยู่สูงกว่ากฎหมาย หากเป็นรัฐมนตรีก็เช่นเดียวกัน คือต้องออกไปพิสูจน์ตัวเอง ถ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่ผิดก็ค่อยกลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกครั้ง

เท่าพิภพ

พรรณิการ์กล่าวต่อไปว่าสำหรับอีก 40 วันที่เหลือ แน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของพรรคประชาชนที่จะต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่ามีดีอย่างไร มีนโยบายที่ดี มีผู้สมัครที่ทำงานดี ใกล้ชิดประชาชน และต่อไปอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะมีการเปิดตัวทีมบริหารที่ดี ที่เป็นมืออาชีพ ที่จะมาบริหารประเทศด้วยองค์ความรู้ มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ตรงตามสายกระทรวง 

ด้วยองค์ประกอบที่สำคัญคือ 1) มีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ 2) มีเทาเราจัดการทันที 3) มีนโยบายที่ดีกว่า 200 นโยบาย ขอให้ประชาชนได้เข้าไปศึกษา และ 3) มีทีมบริหารที่จะไปเป็นรัฐมนตรีในอนาคตที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นมืออาชีพจากแวดวงต่างๆ ถ้าเปิดออกมาหมดแล้วประชาชนยังรู้สึกว่าพรรคประชาชนไม่ดีพอ แน่นอนว่าเป็นสิทธิของประชาชน แต่อย่างน้อยที่สุดขอให้เปิดใจรับฟังสักนิด

เท่าพิภพ

“พวกเราเพียงอยากเห็นประเทศที่ดีกว่านี้ เห็นประเทศไทยมีการทุจริตน้อยลง มีขนส่งมวลชนที่ดี มีสิทธิเสรีภาพให้กับทุกคน สื่อไม่โดนฟ้องปิดปาก มีโรงเรียนที่ดีให้ลูกหลาน มีศูนย์เด็กเล็กที่ดีให้ลูกหลานในอนาคต มีบริการดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงที่ดีเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว ความฝันของพวกเราที่เข้ามาทำงานการเมืองก็มีแค่นี้ ไม่ใช่เพื่อกอบโกยคดโกงเอาผลประโยชน์อะไร เหนือกว่าความปรารถนาดีที่มีต่อประเทศ ก็คือความหวังที่เราอยากส่งประเทศที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ให้คนรุ่นต่อไป ถ้ามีความฝันร่วมกับพวกเราก็ขอให้มาทำด้วยกัน” พรรณิการ์ กล่าว

Leave a comment