มองให้ไกลกว่า‘สมรสเท่าเทียม’ ‘ครอบครัวยุคใหม่’สิทธิยังไม่ถูกมองเห็น

มองให้ไกลกว่า‘สมรสเท่าเทียม’ ‘ครอบครัวยุคใหม่’สิทธิยังไม่ถูกมองเห็น

มองให้ไกลกว่า‘สมรสเท่าเทียม’ ‘ครอบครัวยุคใหม่’สิทธิยังไม่ถูกมองเห็น

วันพุธ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

“กว่าที่เราจะมาพูดกันวันนี้ว่าความรักไม่จำกัดเพศ ความหลากหลายต่างๆ คือความสวยงาม กว่าเราจะพูดคำนี้ได้มันใช้เวลายาวนานมาก เอาแค่สัก 30 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่ารากเหง้าของปัญหามันเรื่องเดียวของกลุ่มหลากหลายทางเพศ LGBT มันมีรากเดียวก็คือความวิปริตผิดเพศ คือเขาไม่ได้มองว่าเราเป็นคน กลุ่มเปราะบางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ ชาติพันธุ์หรือใครก็แล้วแต่เขามองว่าเป็นคนก่อนแต่มีความเปราะบางในเรื่องอื่นๆ แต่ของเราเขาไม่ได้มอง เขามองว่าเราไม่ใช่มนุษย์และเป็นความวิปริตผิดเพศ”

กิตตินันท์ ธรมธัช นายกสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย กล่าวในวงเสวนา “ครอบครัวยุคใหม่: สิทธิที่ยังไม่ถูกมองเห็นในกฎหมายปัจจุบัน และข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อการสร้างครอบครัวที่เท่าเทียม”ว่า กว่าที่สังคมโลกจะเดินมาถึง ณ ปัจจุบัน บุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ต้องเผชิญกับการถูกเกลียดชัง ซึ่งในบางประเทศถึงขั้นตั้งเป้าต้องกำจัดกวาดล้างให้หมดสิ้นไป ในขณะที่ประเทศไทยแม้ยังไม่รุนแรงถึงขั้นนั้น แต่สิทธิเสรีภาพของคนกลุ่มนี้ก็ถูกจำกัดอย่างมาก เช่น โอกาสในการประกอบอาชีพ การปรากฏตัวผ่านสื่อโทรทัศน์    

และแม้หลักการสาธารณสุขจะยึดโยงกับหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งสถาปนาขึ้นในปี 2491 (ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 1948) แต่กว่าจะมีหมุดหมายสำคัญก็ต้องรอจนถึงปี 2533 เมื่อระบบจำแนกและกำหนดรหัสโรคและปัญหาสุขภาพสากล (ICD – 10) ซึ่งจัดทำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ถอดการเป็นบุคคลที่รักเพศเดียวกันออกจากบัญชีโรคทางจิตเวช ทำให้คนกลุ่มนี้สามารถเปิดเผยตนเองได้มากขึ้น แต่ก็ยังคงเผชิญกับการตีตรา เช่น ในประเทศไทย มีทั้งที่บอกว่าเป็นกลุ่มเปราะบาง กลุ่มด้อยโอกาส กลุ่มหลักเสี่ยงติดเชื้อ HIV (โรคเอดส์) เป็นต้น

ขณะที่ปัจจุบันเมื่อประเทศไทยมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้ว สิ่งที่ต้องมองต่อไปคือเรื่องการปฏิบัติ เช่น หลายคนอาจยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตนออกมา แพราะกังวลความเสี่ยงถูกตีตราในสถานที่ทำงาน หรือแม้แต่ในครอบครัวที่พบการกระทำความรุนแรงจากพ่อแม่ที่รู้ว่าลูกเป็นบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงยังต้องติดตามการแก้ไขกฎหมายอื่นอีกบางฉบับเพื่อให้สอดคล้องไปในทางเดียวกัน เช่น กฎหมายคุ้มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ (อุ้มบุญ) กฎหมายสัญชาติว่าด้วยเรื่องการขอสัญชาติไทยผ่านการแต่งงาน

วงเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของงานเสวนาวิชาการ The Family Code 2025: สิทธิ ความฝัน และความหวังในการสร้างครอบครัว” จัดโดยสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2568 ยังมีวิทยากร 3 ท่าน โดย ณฐกมล ศิวะศิลป ที่ปรึกษากฎหมายเครือข่ายพ่อแม่หลากหลายเพศ และผู้ร่วมก่อตั้ง Thai Intersex Rights กล่าวถึงสังคมไทยที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง สวนทางกับสัดส่วนผู้สูงอายุในโครงสร้างประชากรมีแนวโน้มสูงขึ้น

ขณะที่การแต่งงานของคนรักเพศเดียวกัน นับตั้งแต่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2568 ข้อมูลจากส่วนบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีการทะเบียน สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ระบุว่า ระหว่างเดือน ม.ค. – ก.ค. 2568 มีการออกทะเบียนสมรสในส่วนนี้ไปแล้ว18,398 ใบ ซึ่งสถิติที่น่าสนใจคือ ร้อยละ 60 ของคู่สมรสที่ใช้สิทธิ์ตามกฎหมานสมรสเท่าเทียมคือคู่หญิงรักหญิง

“ถ้าเราจะลดปัญหาเด็กเกิดน้อยด้อยคุณภาพสู่การเปิดแนวทางให้คนที่มีความพร้อมที่จะมีบุตรได้มีโอกาสที่จะมีบุตร มี่ความพร้อมคืออะไร? คือมีความตั้งใจที่จะดูแลอีกชีวิตหนึ่งที่จะเกิดมาตามอัตภาพศักยภาพของตนเอง เราอยากให้มีกฎหมายที่อนุญาตให้มีบุตรได้โดยวิธีการทางการแพทย์ มีการเก็บสเปิร์ม เก็บไข่ เก็บ Embrio (ตัวอ่อน) และการใช้เทคโนโลยี IUI (Intra – Uterine Insemination : ฉีดเชื้อผสมเทียม) IVF (In-Vitro Fertilization : เด็กหลอดแก้ว) หรือกระบวนการตั้งครรภ์แทน” ณฐกมล กล่าว

ณฐกมล ยังเสนอแนะด้วยว่า สำหรับ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 ที่ถุกเรียกแบบง่ายๆ ว่า กฎหมายอุ้มบุญ ควรเปลี่ยนการสื่อสารใหม่โดยเรียกว่า กฎหมายเพื่อช่วยการเจริญพันธุ์ หรือกฎหมายตั้งครรภ์ทางการแพทย์ อีกทั้งยังต้องสื่อสารใหม่เพื่อทำความเข้าใจความแตกต่าง ระหว่างคู่ชายรักชายจะเป็นการตั้งครรภ์แทน ส่วนคู่รักหญิงรักหญิงยังสามารถตั้งครรภ์เองได้

ด้าน พรปฏิมา วุฒิสารวัฒนา กรรมการเยาวชนสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยฯ เล่าถึงการจัดเวทีรับฟังเสียงสะท้อนกับเด็ก ซึ่งพบว่าแม้จะเป็นยุคปัจจุบันที่มีกิจกรรมให้ทำมากมายแต่เด็กบางส่วนก็ยังเลือกใช้ยาเสพติด หรือพบเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงเพียงเพราะเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ นอกจากนั้นยังพบปัญหาสุขภาพจิต อาการซึมเศร้าพบในเด็กมากขึ้น ซึ่งคาดว่าเป็นผลกระทบจากสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) รวมถึงครอบครัวโดยเฉพาะเรื่องการเรียน รวมถึงประเด็นสังคมและเศรษฐกิจ

“เด็กรับรู้ว่าพ่อแม่เผชิญปัญหาทางการเงินอะไรอยู่ เพราะจากที่เราทำแบบสำรวจ เรารู้เลยว่าเด็กๆ รู้พ่อแม่กำลังเผชิญความยากลำบากอะไรอยู่  เรื่องของ TCAS การสอบเข้ามหาวิทยาลัย 1 วิชา 100 บาท แล้วทั้งหมดเราต้องสอบ 9 วิชา 900 บาท แล้วถ้าเราจะยื่นมหาวิทยาลัย ทุกที่ลำดับละ 100 บาท นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมประเด็นทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ต่อเด็ก” พรปฏิมา ระบุ

กรรมการเยาวชนสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยฯ เน้นย้ำถึง “สิทธิเด็ก” ที่ต้องได้รับการคุ้มครองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนโลกก็ตาม ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าครอบครัวจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ตราบเท่าที่ครอบครัวนั้นให้ความสำคัญกับสิทธิเด็กและคุ้มครองเด็กอย่างแท้จริง นอกจากครอบครัวแล้วสังคมก็เป็นตัวหล่อหลอมให้เด็กเติบโตขึ้นมา “เด็กไม่ได้กลั่นแกล้งรังแก (Bully) หรือเหยียดเพศเป็นมาตั้งแต่ต้น..แต่ทำเพราะเห็นตัวอย่างจากผู้ใหญ่” เด็กเติบโตมาในสังคมแบบใด สุดท้ายก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ส่งต่อสิ่งเดียวกันให้กับเด็กรุ่นถัดไป

ปิดท้ายที่ ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงครอบครัวมักพูดถึงความรักและความผูกพัน แต่ครอบครัวเป็นอาณาบริเวณที่คนซึ่งเป็นสมาชิกถูกมอบหมายบทบาทหน้าที่รับผิดชอบ ครอบครัวจึงไม่ใช่พื้นฐานแห่งความสนุกสนานไปเสียทีเดียว แต่หากเชื่อว่าครอบครัวเป็นพื้นที่แห่งความรักและความผูกพัน ย่อมหมายความว่าใจเราอยู่ที่ใดที่นั่นก็คือครอบครัว (Family We Choose) แต่พูดแบบนี้อาจเป็นความลำบากของกระทรวงมหาดไทยเพราะกำหนดนิยามไม่ได้

หรือหากพูดถึงกฎหมายความรุนแรงในครอบครัว ก็ต้องบอกว่าครอบครัวเป็นพื้นที่โชกเลือด สมาชิกในครอบครัวไม่ว่าสามี – ภรรยา หรือพ่อ – แม่ – ลูก กระทำความรุนแรงกันหมด ดังนั้นจึงอยากชี้ชวนว่าเมื่อเวลาเรามองครอบครัว มีเรื่องที่ต้องพิจารณาหลายอย่างซึ่งไม่ใช่เรื่องสนุก แต่เราไปมองเรื่องการแต่งงานว่าจะนำไปสู่การสร้างครอบครัว โดยไม่ได้มองกฎหมายว่าด้วยการแต่งงานที่ก็มีข้อบกพร่องอยู่ ในอีกมุมหนึ่งการขยายการรับรองการแต่งงานจากคู่รักชาย – หญิงไปสู่คู่รักที่เป็นเพศเดียวกันจึงเป็นการขยายปัญหานั้นตามไปด้วย

และหากจะพูดถึงนโยบายสาธารณะ คำถามคือ “รัฐอยากทำอะไรในเรื่องครอบครัว?” อะไรมาก่อนระหว่างสุขภาวะความอยู่ดีในครอบครัวกับกฎระเบียบของสังคมบางประการ ในขณะที่สิ่งซึ่งวิทยากรทั้ง 3 ท่านก่อนหน้าพูดถึงคือเสรีภาพในการเลือกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับใครในรูปแบบใด เราเชื่อกันใช่หรือไม่ว่าประชาชนคนไทยสามารถคิดและตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตได้ เพราะหากไม่เชื่อก็ไม่ต้องออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

“ท่านเชื่อไม่ใช่หรือว่าคนไทยสามารถจะเลือกเองได้ว่าจะให้ใครเข้ามาใช้อำนาจรัฐ จะให้ใครเข้ามากำหนดกติกา กำหนดนโยบายสาธารณะแทนตัวเรา ถ้าพลเมืองคิดตัดสินใจได้เช่นนั้นก็แปลว่าพลเมืองไทยสามารถจะใช้เสรีภาพแบบเดียวกันนั้นตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับร่างกาย ตัวตน วิถีชีวิตในทางเพศ ความรัก ความสัมพันธ์ รูปแบบการอยู่ร่วมกัน การเลี้ยงเด็ก การเลี้ยงดูคนชรา ถ้ารัฐไทยไม่เชื่อเช่นนั้นว่าพลเมืองไทยเลือกเองได้ ก็อย่างที่บอกว่าไม่ต้องเลือกตั้ง” ศ.ดร.ชลิดาภรณ์ กล่าว

(ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก “สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยฯ”)

Leave a comment