
‘อนุทิน’ย้ำภท.ไม่เน้นปราศรัยใหญ่ ทำทุกวันให้ดีที่สุด ขอทุกพรรคชูนโยบายเพื่อประชาชน
วันพุธ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.
‘อนุทิน’ย้ำภท.ไม่เน้นปราศรัยใหญ่ ทำทุกวันให้ดีที่สุด ขอทุกพรรคชูนโยบายเพื่อประชาชน ‘อภิสิทธิ์’ลั่นเลือกตั้ง’69ชี้ชะตาชาติ ‘เจษฏ์’ปูด‘ทุนเทา’ทุ่ม1แสนล.ซื้อปท.
นายกฯ“อนุทิน” นำประชุม ครม.นัดสุดท้ายปี’68 อวยพรปีใหม่ ขอคนไทย หมดเคราะห์ หมดทุกข์โศก ระบุ ภท.ไม่เน้นปราศรัยใหญ่ ย้ำขอทำทุกวันให้ดีที่สุด นายกฯบินด่วนอุดรฯเสร็จสิ้นภารกิจหัวใจติดปีกดวงที่ 153 ส่งท้ายปี “อภิสิทธิ์” เลือกตั้งปี’69 ชี้ชะตาชาติ!กระตุกเตือนดังๆ หากการเมืองไม่เปลี่ยน ปล่อย“สีเทา”ครอบงำระวัง“เศรษฐกิจไทย”ติดหล่มยาว รับ‘ประชานิยม’ยังจำเป็น แต่หวังพึ่งไปตลอดไม่ได้ ตั้งเป้า‘ปชป.’เพิ่มเก้าอี้‘ปาร์ตี้ลิสต์’เชื่อได้มากกว่า‘สส.เขต’ที่รอบนี้แข่งขันกันรุนแรง ‘ดร.เจษฏ์’เปิดใจซบพรรครักชาติ เมินพรรคใหญ่ เปรียบ “น้ำฉีดแรง” ล้างคราบสกปรกได้ดีกว่า ชู”ไม่โกง ไม่เทา” พร้อม ปูด‘ทุนเทา’ทุ่ม1แสนล้านซื้อประเทศ ซื้อหัวละ4,000ยึดอำนาจรัฐ
เมื่อเวลา10.00 น.วันที่ 30 ธันวาคม 2568ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ซึ่งวันเดียวกันนี้ถือเป็นการประชุม ครม.นัดสุดท้ายของปี 2568
นายกฯอวยพรปีใหม่คนไทย
โดยนายกฯอวยพรปีใหม่ประชาชนคนไทยว่าวันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของปีนี้ ต้องขอบคุณทุกฝ่ายแม้กระทั่งสื่อมวลชนที่ช่วยกันนำเสนอข้อมูลข่าวสารให้ประชาชน ทั้งประเทศได้รับทราบว่า รัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง ตนในฐานะนายกรัฐมนตรี ขอถือโอกาสนี้ กราบอวยพรปีใหม่ให้กับพี่น้องประชาชน ขอให้ความทุกข์โศก เคราะห์ต่างๆ สิ่งร้ายๆทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นในปี2568 ที่ผ่านมา ขอให้หมดไปนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องรอข้ามปี และปีใหม่ 2569 ซึ่งเป็นปีม้า ขอให้เป็นปีที่ทุกคนมีความคึกคัก โลดโผน โจรทะยาน กระโจนไปข้างหน้าด้วยความมั่นคงและแข็งแรง ประสบแต่ชัยชนะมีความสุข มีสุขภาพที่ดี
เมื่อถามว่าปีหน้าเป็นปีม้า นายอนุทินจะขี่ม้าขาวเป็นนายกฯอีกสมัยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่าอยู่ที่พี่น้องประชาชน
ภท.ไม่เน้นปราศรัยใหญ่-ขอทำทุกวันให้ดีที่สุด
นายอนุทินในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ว่า เหลืออีกแค่ 38วัน ก็ขอให้ทุกฝ่ายได้หาเสียง โดยเน้นในเรื่องนโยบาย หรือ สิ่งที่พี่น้องประชาชนควรได้รับทราบ และเป็นประโยชน์กับพวกเขา
เมื่อถามอีกว่าพรรคภูมิใจไทยจะเปิดตลาดในกรุงเทพฯหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยจะขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่หาเสียงด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราไม่ได้เน้นว่าจะต้องมีการจัดปราศรัยใหญ่ เพราะผู้สมัครทุกคนของพรรคภูมิใจไทย มีความคุ้นเคยในพื้นที่ของเขาอยู่แล้ว และมีการกำหนดตารางเวลาใคร จะให้หัวหน้าพรรคไปไหน ถ้าว่างก็ไป ตอนนี้พรรคภูมิใจไทยมีผู้ที่สามารถไปดำเนินการ ในการช่วยหาเสียง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อถามต่อว่าดูเหมือนนายกฯดูชิลๆมั่นอกมั่นใจว่าจะได้กลับมาในครั้งหน้านายอนุทิน ฮัมในลำคอว่าหืม!พูดอย่างนี้อีกแล้ว “ขอทำทุกวันให้ดีที่สุด”
นายกฯบินด่วนอุดรฯภารกิจหัวใจติดปีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เตรียมปฏิบัติภารกิจ“หัวใจติดปีก”บินด่วนไปยังจังหวัดอุดรธานีเพื่อรับอวัยวะหัวใจนำส่งผู้ป่วย เป็นการรับหัวใจดวงที่153ในเวลาประมาณ 15.00 น.
ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เดินลงจากตึกบัญชาการ1โดยทักทายสื่อมวลชนพร้อมทำท่า“พลัส”ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการหาเสียงของพรรคภูมิใจไทยและภายหลังการสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรียังทำท่า”พลัส”อีกครั้งก่อนจะกล่าวว่า“สวัสดีปีใหม่ครับ”ผู้สื่อข่าวยังสอบถามว่าช่วงปีใหม่จะเดินทางไปที่ใดบ้าง นายอนุทินกล่าวว่า ไม่ไปจะไปดูพี่น้องทหารที่อยู่ชายแดน
ภารกิจเสร็จสิ้น!รับหัวใจดวงที่ 153
สำหรับภารกิจ”หัวใจติดปีก”เป็นสิ่งที่นายอนุทินปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 10ปี แม้ปัจจุบันจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแต่ยังคงใช้เวลาว่างและทรัพยากรส่วนตัวสนับสนุนสภากาชาดไทยในกรณีเร่งด่วน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่การจราจรทางบกมีความหนาแน่น การขนส่งทางอากาศจึงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ในช่วงบ่าย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้บินด่วนไปยัง จ.อุดรธานี โดยเครื่องบินส่วนตัว เพื่อปฏิบัติภารกิจ “หัวใจติดปีก”รับอวัยวะหัวใจนำส่งผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยเป็นการปฏิบัติภารกิจหัวใจติดปีก เป็นดวงที่ 153
ไม่ต้องแจงปมลูกชายรับงานกฟภ.
นายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวพบว่าบริษัทของบุตรชายนายเศรณี ชาญวีรกูล มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟผ.)เป็นระยะเวลา 25 ปี ตั้งแต่ต้นปี 2561 โดยมีสัญญาในปี 2564 เป็นสัญญาในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยนายกฯถามกลับว่า“ปีอะไรครับ“ผู้สื่อข่าวตอบว่าปี 2564 นายอนุทิน ตอบกลับว่า“ดูให้ถูก”ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า จะไม่ชี้แจงหรือ นายอนุทินตอบว่าไม่ต้องชี้แจง เพราะไม่ใช่เรื่องของตน ตั้งแต่ปีอะไร ขอให้ไปดูใหม่เพราะว่าคุณเป็นคนเขียนข่าวเองและเขียนว่าปี2561ก่อนจะถามผู้สื่อข่าวกลับว่า“แล้วปี61ผมเป็นอะไร”
‘อภิสิทธิ์’เลือกตั้งปี69ชี้ชะตาชาติ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงภาพรวมการเมืองในปี 2569 ว่า ประเทศไทยเริ่มต้นปีใหม่ท่ามกลางบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เนื่องจากมีหลายพรรคการเมืองเข้ามามีบทบาท ทั้งพรรคที่ตั้งใจจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และพรรคที่อาจเข้ามาเป็นตัวแปรทางการเมือง ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีความเข้มข้นเป็นพิเศษ แต่ก็จะเป็นบททดสอบสำคัญของประเทศ ว่าประชาชนต้องการให้การเมืองเป็น“จุดเปลี่ยน”หรือไม่ เนื่องจากในการเลือกตั้งที่ผ่านมา รวมถึงบรรยากาศทางการเมืองตลอดหลายปี ความรู้สึกเชิงลบต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจและเมื่อสะสมยาวนาน ทำให้ประชาชนเริ่มตระหนักว่าทำไมประเทศไทยจึงพัฒนาได้ช้ากว่าหลายประเทศ
“การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการพลิกการเมืองไปสู่ความสุจริต หรือ จะยังคงอยู่ในสภาพที่พรรคการเมืองพูดถึงเพียงข้อตกลงระหว่างกัน โดยไม่ชัดเจนว่าประเทศจะเดินหน้าไปในทิศทางใด หากผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว เป็นแบบเดิมๆเราก็จะอยู่ในสภาพการเมืองและเศรษฐกิจแบบที่เป็นอยู่ ในช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา แต่ถ้ามันเปลี่ยนแปลงได้ ก็จะเป็นโอกาสให้ประเทศเราเปลี่ยนแปลง และเดินต่อไปได้”นายอภิสิทธิ์ ย้ำ
ชี้ปล่อย‘สีเทา’ครอบงำ ศก.ติดหล่มยาว
เมื่อถามว่าขณะนี้พรรคการเมืองต่าง ๆ ยังวนอยู่กับพฤติกรรมเดิม ๆ โดยเฉพาะพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ยังมีการกวาดต้อน ส.ส. เข้ามาสังกัดพรรคของตนเอง มองว่าโอกาสที่การเมืองจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมมีหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องของนักการเมือง แต่ถือเป็นเรื่องที่น่าตั้งคำถาม โดยยกตัวอย่างผลสำรวจของนิด้าโพล ในแต่ละไตรมาสที่พบว่าเมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มประชาชนที่ตอบว่ายังไม่เลือกใคร หรือไม่มีใครให้เลือก กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งคำถามถึงบทบาทของ“ทุนทางการเมือง”ที่เข้ามาอย่างมหาศาล ว่าทุนเหล่านี้เข้ามาอย่างไร มีที่มาแบบใดและอยู่ภายใต้สีทางการเมืองแบบไหน หากปล่อยให้เงินเข้ามาซื้อทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศ รวมถึงการซื้ออำนาจและการหลีกเลี่ยงการอยู่ภายใต้กฎหมายจะส่งผลกระทบต่อระบบการเมืองและประเทศในระยะยาวอย่างไร
“ตอนนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญแล้วว่า เราจะปล่อยให้การเมืองเป็นแบบนี้ต่อไปหรือไม่ หรือเราจะเลือกอยู่กันแบบไหน และจะพาประเทศเดินไปในทิศทางใด”นายอภิสิทธิ์ ระบุ
ตั้งเป้าปชป.เพิ่มเก้าอี้‘ปาร์ตี้ลิสต์’
เมื่อถามว่ามีการตั้งเป้าหรือไม่ว่าจะได้จำนวนที่นั่งเท่าไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนนี้สิ่งที่ตนพูดได้อย่างเดียวคือ ต้องทำให้สส.บัญชีรายชื่อ เพิ่มขึ้นให้มากกว่าเดิมหลายเท่า หากเป็นไปตามผลสำรวจโพลต่างๆที่ผ่านมา ดูเหมือนเราจะมาถูกทางอยู่ แต่ก็ยังต้องทำงานหนัก เพื่อรักษาคะแนนของเดิมและต้องขยายเพิ่มขึ้นด้วย โดยในอดีตเราเคยได้ประมาณ 11ล้านเสียง ก็คงยากที่จะกลับไปแบบนั้นในระยะเวลาแบบนี้ ซึ่งเลือกตั้งครั้งล่าสุดเราได้เพียง 9 แสนคะแนน ที่ตนใช้ว่าคำว่า“หลายเท่าตัว ”คือต้องทำให้ได้หลายล้านคะแนนเสียง
ในสนามเลือกตั้งภาคใต้คาดหวังได้คะแนนเสียงหลายล้านเสียงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าตนไม่กล้าที่จะเจาะจงขนาดนั้น แต่จากที่ได้ลงไปพื้นที่ภาคใต้หลายครั้ง จากการไปช่วยประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่และพื้นที่อื่นๆได้รับการตอบรับที่ดีมากและมีคนที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์กว่า50-60เปอร์เซ็นต์ ดูเหมือนจะเริ่มจะทยอยกลับมาและพูดชัดว่าจะกลับมาให้การสนับสนุนอีกครั้ง
หวังดึงฐานเสียงเดิมกลับมากทม.-ใต้
ส่วนสนามกรุงเทพฯนายอภิสิทธิ์กล่าวว่าเบื้องต้นจากที่เห็นผู้สมัครรุ่นใหม่ที่เข้ามา ตนค่อนข้างดีใจที่มีคนเก่งๆและมีมุมมองในการแก้ปัญหาอาสาตัวเข้ามา อาจจะมีข้อเสียเปรียบคือ ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง แต่แนวทางที่พรรคทำโดยการเชิญชวนให้คนดีเข้ามา ทำให้สบายใจว่าอย่างน้อยก็มีความชัดเจน แต่จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนกทม.แต่เที่ยวนี้ตนมองว่ามีความเปลี่ยนแปลงในภาพของคนที่มองทั้งผู้สมัครและพรรคโดยเราจะพยายามเต็มที่ ที่จะดึงฐานเสียงเดิมกลับมารวมถึงพื้นที่ภาคใต้ด้วย แม้จะได้รับเสียงตอบรับดีแต่หากประชาชนมีความคิดเลือกใช้เกณฑ์ในการเลือกบัญชีรายชื่อและสส.คนละแบบก็อาจจะยังเหนื่อยอยู่ แต่จะพยายามทำให้เห็นว่าที่สุดแล้วไปแยกแบบนั้นไม่ได้
ตั้งเป้า ปชป.เพิ่มเก้าอี้‘ปาร์ตี้ลิสต์’
“จะมองว่าเลือกปาร์ตี้ลิสต์ เป็นการเลือกรัฐบาล ส่วนสส.เขตเป็นการเลือกนายกฯนั้นไม่ได้ ตรงกันข้ามใครจะได้เป็นรัฐบาล หรือนายกฯมันอยู่ที่สส.เขตว่าโดยรวมได้เท่าไรเพราะมีมากกว่าจำนวนสส.ปาร์ตี้ลิสต์ 4เท่า หากทำให้ประชาชนเข้าใจแบบนี้ได้ ผมคิดว่าคะแนนเสียงที่เราได้รับจากคะแนนพรรค ก็จะช่วยการเลือกตั้งเขตได้
ยืนยันว่าประชาธิปัตย์ต้องการตอบโจทย์ให้คนทุกภาค แม้ที่ผ่านมาพื้นที่อีสาน เราไม่ได้เข้มแข็งนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ให้ความสนใจ แต่เท่าที่ผมประเมินทั้งหมดแล้วเราน่าจะได้คะแนนบัญชีรายชื่อมากกว่า เพราะเชื่อว่าครั้งนี้การแข่งขันแบบเขตจะมีความรุนแรงอย่างมาก”หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ย้ำ
รับ‘ประชานิยม’ยังจำเป็น
เมื่อถูกถามว่านโยบายหาเสียงครั้งนี้จำเป็นต้องมีนโยบายประชานิยมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า นโยบาย ที่ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยังมีความจำเป็น โดยยกตัวอย่างโครงการ“คนละครึ่ง”ที่ช่วยบรรเทาความลำบากของประชาชนได้จริงในช่วงวิกฤต แต่ไม่สามารถหวังพึ่งได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวเพราะทุกครั้งที่ดำเนินการล้วนเป็นภาระงบประมาณของรัฐและหากไม่มีการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจด้านอื่น ภาครัฐย่อมหมดกำลังในที่สุด
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการเสนอนโยบายการเลือกตั้งครั้งนี้จะพยายามสร้างสมดุลระหว่างการช่วยเหลือเฉพาะหน้า กับการวางรากฐานระยะยาว เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน ไม่ติดอยู่ในวงจรเดิมของนโยบายระยะสั้นเพียงอย่างเดียว
‘ดร.เจษฏ์’เปิดใจซบ‘พรรครักชาติ’
รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครักชาติ เปิดเผยถึงเหตุผลในการตัดสินใจร่วมงานการเมืองกับพรรครักชาติว่า“พรรครักชาติ ผู้ก่อตั้งมาคุยกับผม ผมพบกับสมาชิก ผมพบว่าเขาเป็นคนที่มีความตั้งใจกันจริง ประสงค์ที่จะทำการเมืองแบบใหม่ ถามว่า เปลืองตัวหรือเปล่า มันขึ้นอยู่กับว่าเอาตัวไปทำอะไร แน่นอนครับ วันนี้คนชวนผมไปเป็นโจรไม่ต้องถามเลยว่าเปลืองตัวหรือเปล่า แต่ถ้าวันนี้คนชวนผมว่า เพราะรักชาติ ไม่ใช่แค่คำพูดพวกเขาอยากที่จะแสดงให้เห็นแล้ว”
เมินพรรคใหญ่-ชู”ไม่โกง ไม่เทา”
รศ.ดร.เจษฏ์ยังเปรียบเทียบการทำงานการเมืองระหว่างพรรคใหญ่กับพรรคเล็กว่า ความใหญ่อาจมาพร้อมกับความไร้ประสิทธิภาพพร้อมยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับการล้างรถ”บางทีเนี่ยนะ ใหญ่แต่ไร้ประสิทธิภาพ สู้เล็กแต่มีกำลังดีกว่า เวลาคุณจะไปล้างรถให้มันสะอาดถ้าคุณเอาน้ำปริมาณมากแต่เบาๆ รถอาจจะไม่สะอาดเลยนะแต่ถ้าคุณเอาน้ำปริมาณน้อย กำลังสูง ฉีดไปนิดเดียวรถมันสะอาดได้เลยนะ”
รศ.ดร.เจษฏ์ ทิ้งท้ายว่า หากพรรคใหญ่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ หรือมีกลุ่มมิจฉาชีพ (Scammers) แอบแฝงอยู่ คำพูดสวยหรูอาจเชื่อถือไม่ได้ ใครจะมองว่าตนเปลืองตัวหรือเสียของก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้ประชาชนติดตามการทำงานของพรรครักชาติ เพื่อพิสูจน์จุดยืนที่ว่า”ไม่โกง ไม่เทา”นั้น เป็นจริงหรือไม่
‘เจษฏ์’ปูดทุนเทาทุ่มแสนล้านซื้อปท.
รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครักชาติเปิดเผยถึงสถานการณ์การเมืองที่มีการแทรกแซงจากกลุ่มทุนสีเทาว่า ล่าสุดมีการอายัดทรัพย์กลุ่มทุนสีเทากลุ่มหนึ่งมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทซึ่งได้รับข้อมูลมาว่าเป็นเพียงร้อยละ10ของเม็ดเงินจริงที่เตรียมไว้สำหรับสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้โดยยอดรวมอาจสูงถึง1แสนล้านบาท
ส่วนความเป็นไปได้ในการใช้เงินจำนวนดังกล่าวซื้อเสียง รศ.ดร.เจษฏ์กล่าวว่า หากมีเงิน1แสนล้านบาท สามารถซื้อคนได้ถึง 100 ล้านคน ในราคาคนละ1,000 บาท แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ถึงจำนวนดังกล่าว และหากนับเฉพาะผู้มาใช้สิทธิจริงประมาณ 30 กว่าล้านคน การซื้อเสียงเพื่อให้ได้เสียงข้างมาก (ประมาณ 60% ของผู้มาใช้สิทธิ)จะทำให้อัตราการจ่ายเงินพุ่งสูงถึงหัวละ 3,000 – 4,000บาทซึ่งเป็นตัวเลขที่กลุ่มทุนเหล่านี้สามารถจ่ายได้จริง
“ถ้าทุนเทาเอาเงินมาลงแสนล้าน ได้แน่ๆ และพอเข้าไปเสร็จก็จะไปออกกฎหมาย ไปทำโครงการ ไปวางแผนผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา เช่น เปิดเสรีการพนัน ยาเสพติด หรือทำธุรกิจสแกมเมอร์ รวมถึงการทำข้อตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนตัวเอง” รศ.ดร.เจษฏ์ กล่าว
พร้อมระบุอีกว่าถ้าเปรียบเทียบเงิน 1 แสนล้านบาท ในการซื้อประเทศไทย ถือว่า”กระจอกมาก”เมื่อเทียบกับงบประมาณหรือเงินแจกของรัฐที่ละลายหายไปแสนสองแสนล้านบาท แต่ผลเสียที่จะตามมาจากการที่กลุ่มทุนสีเทายึดครองอำนาจรัฐนั้นถือว่ามหาศาล ดังนั้นหากภาคประชาชนไม่ลุกขึ้นสู้ในครั้งนี้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ขอให้คิดดู
‘ยศชนัน’ลงลุยพาพท.หาเสียงวัดเกาะ
เวลา 07.00น.ที่ตลาดวัดเกาะ เขตสายไหม นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่พบปะประชาชน ตลาดวัดเกาะ เขตสายไหม ช่วยผู้สมัคร สส.กทม.เขต11 น.ส.รัตติกาล แก้วเกิดมี และนายภูร์ผา ไทยแท้ เขต 12 มีทีมบริหารพรรคร่วมลงพื้นที่ ตลอดเส้นทางเดินผ่าน ได้มีประชาชนพ่อค้าแม่ค้า แฟนคลับพรรคเพื่อไทย ขอจับมือให้กำลังใจถ่ายภาพ และมอบดอกไม้ พวงมาลัยดอกดาวเรือง ต้อนรับเป็นกันเองและอย่างคักคัก หลังจากเดินพบปะแล้วได้ร่วมนั่งรับประทานอาหารเช้า กาแฟ ไข่ลวก และร่วมวงพูดคุยกับประชาชนที่มาจ่ายตลาด
นายยศชนันกล่าวว่าวันนี้มาดูบรรยากาศหลายคนยังอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯและมีหลายคนเดินทางไปต่างจังหวัดแต่ได้รับกำลังใจอย่างล้นหลาม ผู้สมัครแต่ละท่านก็พยายามสื่อสารแนวนโยบายที่พรรคมี และพบว่าหลายนโยบายโดนใจพี่น้องประชาชน สิ่งสำคัญที่สุด คือ การทำให้นโยบายเหล่านี้เกิดขึ้นจริงทันที หลังจากที่เราได้รับเลือกและความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนในวันที่ 8 ก.พ.
เปิดนโยบายใหม่สัปดาห์แรกต้นปี
นายยศชนันกล่าวอีกว่า นโยบายพรรคเพื่อไทย ที่ได้สื่อสารมาตั้งแต่ช่วงเปิดตัวทั้งเรื่องแนวทางช่วยลดรายจ่าย เศรษฐกิจดี รายได้เพิ่ม เรื่องที่อยู่อาศัยบ้าน ปัญหาหนี้สิน และนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่สามารถทำได้ทันที รถฟีดเดอร์ 10 บาท เป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน
เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะมีการเปิดนโยบายใหม่ที่ใกล้เคียงกับ“ดิจิทัลวอลเล็ต”รอบที่แล้วหรือไม่ นายจุลพันธ์ ย้ำว่า ไม่ใช่นโยบายในลักษณะวอลเล็ต แต่จะเป็นเรื่องของสวัสดิการประชาชน ซึ่งเป็นนโยบายขนาดใหญ่ของพรรค และจะตอบโจทย์พี่น้องประชาชน เพื่อให้คนไทยพ้นจากความยากจน ซึ่งพรรคมีนโยบายใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงต้นปีในสัปดาห์แรกของปีใหม่