แหวกฟ้าหาฝัน : ไปเที่ยวปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/309165

แหวกฟ้าหาฝัน : ไปเที่ยวปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แหวกฟ้าหาฝัน : ไปเที่ยวปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในโลก

วันอาทิตย์ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

นักท่องเที่ยวที่มีโอกาสเยือนโปแลนด์ สถานที่แห่งหนึ่งที่ควรไปให้ได้ ไม่เช่นนั้นเสมือนหนึ่งยังมาไม่ถึงก็คือ Malbork Castle ปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในโลก การเดินทางมาปราสาทนี้ก็ไม่ยาก หากนักท่องเที่ยวซื้อ Poland rail pass สามารถนั่งรถไฟมาถึงเมืองได้โดยใช้เวลาในการเดินทางจากวอร์ซอร์ประมาณ 2 ชั่วโมง รถไฟที่ออกจากวอร์ซอร์นี้เป็นรถไฟสายพิเศษจึงต้องเสียค่าจองต่างหากนอกเหนือจากปกติอีก 43 เหรียญโปแลนด์ต่อเที่ยว แต่หากนักท่องเที่ยวซื้อตั๋วรถไฟชั้นหนึ่งจะมีอาหารเสิร์ฟให้ด้วยโดยอาหารที่เสิร์ฟจะเหมือนกับอาหาร A la cart ตามโรงแรม เมื่อลงรถไฟแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถเดินจากสถานีรถไฟไปถึงปราสาทได้โดยไม่จำเป็นต้องนั่งรถบัส เพราะปราสาทห่างจากสถานีรถไฟเพียงแค่ 1.6 กิโลเมตรเท่านั้น ระหว่างทางก็เดินไม่ยาก และมีร้านรวงขายของอยู่ทั่วไป เดินเพลินๆ เดี๋ยวเดียวก็ถึงปราสาทแล้ว ก่อนเข้าปราสาทนักท่องเที่ยวต้องซื้อตั๋วในห้องขายตั๋วที่มีขนาดใหญ่มากซึ่งทำให้คาดเดาได้ว่าในฤดูร้อนนักท่องเที่ยวคงล้นหลาม ด้วยสนนราคาถึง 30 เหรียญโปแลนด์ โดยรวมค่า Audio guide ไว้แล้ว

หลังจากเสียเงินค่าเข้า และถ่ายรูปด้านหน้าจนสมใจแล้ว ก็ถึงเวลาเดินชมปราสาทที่สร้างด้วยอิฐแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปราสาทสไตล์คลาสิกแห่งยุคกลางที่ถูกสร้างขึ้นโดยอัศวิน Teuton เพื่อใช้เป็นป้อมปราการนี้ดั้งเดิมชื่อ Mary’s Castle ตามชื่อเมือง Marienburg ต่อมาในปี 1466 ทั้งปราสาทและเมืองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรปรัสเซียหรือจังหวัดหนึ่งของโปแลนด์ ปราสาทที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 1997 และตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำ Nogat นี้เป็นที่ประทับของราชวงศ์มาอย่างยาวนานจวบจนกระทั่งเกิดการแบ่งแยกประเทศโปแลนด์ครั้งที่หนึ่งในปี 1772 โดยมีการว่างเว้นเพียงช่วงที่โปแลนด์ที่ปกครองโดยราชวงศ์สวีเดนเท่านั้น ปราสาทได้รับการต่อเติมหลายครั้งจนกลายเป็นปราสาทสไตล์โกธิกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปโดยมีพื้นที่มากถึง 52 เอเคอร์ หรือ 4 เท่าของพระราชวังวินเซอร์ พระราชวังที่เคยเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงไดอาน่าแห่งอังกฤษ อย่างไรก็ดีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองปราสาทนี้ได้ถูกทำลายลงอย่างมาก จึงได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 จวบจนกระทั่งสมบูรณ์ในเดือนเมษายนปี 2016 นี่เอง นักท่องเที่ยวจะเห็นว่าปราสาทแบ่งเป็นหลายส่วนและมีกำแพงหลายชั้น

ส่วนที่สำคัญและเข้าถึงง่ายที่สุดของปราสาทก็คือส่วนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Nogat เพราะบริเวณนี้จะเป็นที่จอดเรือที่มาจากทะเลบอลติก ในช่วงที่อัศวิน Teuton ปกครองและดูแลปราสาทนั้น พวกเขาสามารถสร้างรายได้จากการเก็บค่าผ่านเรือและกลายเป็นผู้ควบคุมการค้าอำพันแต่ผู้เดียว ในปี 1466 ทั้งปราสาทและเมืองกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ปรัสเซีย และกลายเป็นที่พำนักของราชวงศ์ หลังจากการแบ่งแยกโปแลนด์ครั้งที่หนึ่งนับจากปี 1772 ที่นี่ก็ถูกปล่อยปละละเลย จนถึงปี 1794 David Gilly สถาปนิกชาวปรัสเซียได้รับมอบหมายให้ทำการสำรวจและจัดการกับอนาคตของปราสาทFriedrich Gilly บุตรชายของ David Gilly จึงได้ทำการแกะสลักเรื่องราวของปราสาทและจัดแสดงที่เบอร์ลินประเทศเยอรมนี เพื่อเรียกร้องความสนใจให้กับปราสาท ปราสาทกลายเป็นโรงพยาบาลในสมัยนโปเลียน แต่หลังสงคราม 6 ฝ่ายที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ให้กับเยอรมนี ปราสาทแห่งนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของประวัติปรัสเซียไป

ในช่วงการบูรณะปราสาทที่เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของอัศวิน Teuton ในการทำสงครามศาสนากับปรัสเซียและลิทัวเนียนี้ได้ทำให้เกิดการฟื้นฟูศิลปะยุคกลาง และงานแกะสลักที่เคยถูกหลงลืมมานาน การเยือนปราสาทแห่งนี้จึงเป็นกระตุ้นเตือนให้เห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ยุโรปกลางที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความรุนแรง อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนในการก่อสร้างปราสาทตามแนวทางศิลปะแบบโกธิก ปราสาทแห่งนี้จึงเป็นเสมือนหนึ่งอนุสาวรีย์ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะศาสตร์ นักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนปราสาทจะรู้สึกสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของงานสถาปัตยกรรมที่ดูเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่สมกับที่เป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในโลกและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

Malbork Castle

Malbork Castle

ตัวอย่างห้องในปราสาท

ตัวอย่างห้องในปราสาท
อาหารบนรถไฟสายพิเศษ

อาหารบนรถไฟสายพิเศษ

Leave a comment