LIFE & HEALTH : การเลือกใช้ยาระบายบำบัด ‘ภาวะท้องผูก’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/316068

LIFE&HEALTH : การเลือกใช้ยาระบายบำบัด ‘ภาวะท้องผูก’

LIFE&HEALTH : การเลือกใช้ยาระบายบำบัด ‘ภาวะท้องผูก’

วันพุธ ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ปัญหาท้องผูกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หญิงหรือชายก็ไม่เว้น หลายคนจึงมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ให้ความสนใจที่จะแก้ปัญหาภาวะท้องผูกอย่างจริงจัง ซึ่งการปล่อยให้เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรังนั้น อาจทำให้เกิดโรคตามมาได้ เช่น โรคริดสีดวงทวาร เป็นต้น

สาเหตุภาวะท้องผูกอาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายความกังวล ยารักษาโรคจิตและอาการซึมเศร้า เป็นต้น หรือเกิดจากความผิดปกติทางกายหรือโรคทางลำไส้ เช่น รูทวาร ไขสันหลัง มีความผิดปกติของเส้นประสาทที่ควบคุมการถ่าย การอุดตันของสำไส้ มะเร็งลำไส้ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ภาวะท้องผูกเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุทางกาย มักพบบ่อยในผู้ที่รับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารน้อย หรือไม่ชอบรับประทานผัก ผลไม้ หรือดื่มน้ำน้อยเกินไป รวมถึงผู้ที่ชอบกลั้นอุจจาระบ่อยๆ

สำหรับการรักษาอาการท้องผูกทำได้ 2 วิธี คือ การรักษาโดยการใช้ยา และ การรักษาโดยไม่ใช้ยา วิธีที่ดีกว่า คือ การไม่ใช้ยาแต่มักจะใช้ได้ผลดีในกรณีที่ภาวะท้องผูกไม่รุนแรง ข้อแนะนำคือหันมารับประทานผัก ผลไม้ ที่มีเส้นใยมากๆ ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลาโดยจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็นก็ได้ เพื่อให้ลำไส้เกิดความเคยชินกับการขับถ่ายเป็นเวลา

ส่วนการรักษาอาการท้องผูกโดยการใช้ยาระบายนั้น ข้อมูลจาก ฝ่ายวิชาการ สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) แนะนำว่า คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีพฤติกรรมการใช้ยาระบายมากเกินความจำเป็น บางรายเมื่อเกิดภาวะท้องผูกทีไรก็จะใช้ยาระบายทันที หรือผู้หญิงบางคนก็กินเป็นยาระบายเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องและอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ควรใช้ยาระบายควรใช้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะยากลุ่มที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดยาและการเกิดกลุ่มอาการท้องผูกสลับท้องเสีย ซึ่งจะทำให้การทำงานของลำไส้ใหญ่ ลดลงมากกว่าปกติ ระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ ทางที่ดีเมื่อเกิดภาวะท้องผูกและมีความจำเป็นต้องใช้ยาระบาย ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ ควรเลือกชนิดของยาระบายให้เหมาะสม ซึ่งแยกตามกลไกการออกฤทธิ์ได้ 6 กลุ่ม คือ

กลุ่มยาที่มีฤทธิ์เพิ่มปริมาณอุจจาระ ยากลุ่มนี้เป็นสารประเภทไฟเบอร์ เช่น เม็ดแมงลัก ยาระบายไซเลียมสีด ซึ่งเมื่อถูกน้ำจะพองตัว แล้วไปเพิ่มปริมาณอุจจาระ รวมทั้งทำให้อุจจาระอ่อนตัว อุจจาระจึงถูกขับถ่ายออกง่ายขึ้น ยาจะออกฤทธิ์ให้รู้สึกอยากขับถ่ายในระยะเวลา 12-72 ชั่วโมง

กลุ่มยาที่กระตุ้นการขับถ่ายอุจจาระ ยากลุ่มนี้จะทำให้ลำไส้บีบตัวเพิ่มมากขึ้น จึงกระตุ้นให้อุจจาระถูกขับถ่าย ยาจะออกฤทธิ์ให้รู้สึกอยากขับถ่ายในระยะเวลา 6-10 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น ยาไบซาโคดิล มะขามแขก น้ำมันละหุ่ง

กลุ่มยาที่หล่อลื่นอุจจาระ ยากลุ่มนี้มีความสามารถในการเก็บกักน้ำไว้ในอุจจาระ ทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง อุจจาระจึงถูกขับถ่ายออกง่ายขึ้น ยาจะออกฤทธิ์ให้รู้สึกอยากขับถ่ายในระยะเวลา 2-6 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น ยาระบายน้ำมันแร่ ยาระบายอิมัลชันของน้ำมันแร่และแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์

กลุ่มยาที่ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ยากลุ่มนี้ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับถ่ายออกง่ายขึ้น ยาจะออกฤทธิ์ให้รู้สึกอยากขับถ่ายในระยะเวลา 12-72 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น โดคูเสต

ยาระบายประเภทเกลือ ยากลุ่มนี้มีความสามารถในการดูดน้ำเข้ามาในลำไส้ทำให้มีแรงดันเพิ่มขึ้นในลำไส้และกระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ จึงเกิดความรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ ทั้งนี้ยาจะออกฤทธิ์ให้รู้สึกขับถ่ายในระยะเวลา 30 นาที-3 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น ยาระบายมิลค์ออฟแมกนีเซีย แมกนีเซียมซัลเฟต โซเดียมฟอสเฟต โซเดียมคลอไรด์ เป็นต้น

กลุ่มยาที่มีแรงดันออสโมติก ยากลุ่มนี้มีความสามารถในการดูดน้ำเข้ามาในลำไส้ด้วย คล้ายยากลุ่มที่ 5 แต่ตัวยาไม่ใช่เกลือและการดูดน้ำทำได้ด้วยแรงดันออสโมติก น้ำจะทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มลง และยังช่วยเพิ่มแรงดันในลำไส้ กระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ และขับถ่ายอุจจาระออก ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ให้รู้สึกอยากขับถ่ายในระยะเวลา 30 นาที-3 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น กลีเซอรีน แลคตูโลส

รูปแบบของยาระบาย มีอยู่หลายรูปแบบ ได้แก่ ยาเม็ด ยาชง ยาน้ำแขวนตะกอน ยาน้ำแขวนละออง ยาเหน็บทวาร ยาสวนทวาร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การใช้ยาระบายมีข้อจำกัด ต้องเลือกให้เหมาะกับแต่ละคน เช่น ยาระบายที่มีฤทธิ์กระตุ้นการขับถ่ายอุจจาระ จะไม่ใช้ในผู้สูงอายุที่มีอุจจาระแข็งจับเป็นก้อน หรือในสตรีมีครรภ์เพราะลำไส้จะบีบตัวมากและอาจกลายจากท้องผูกเป็นท้องเดินได้ ผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่ค่อยรู้สึกตัวก็จะไม่ให้ใช้น้ำมันละหุ่ง เพราะถ้ามีการสำลัก จะสำลักน้ำมันละหุ่งเข้าปอดและทำให้เกิดปอดอักเสบขึ้นได้ นอกจากนี้การใช้ยาระบายน้ำมันแร่หากใช้บ่อยๆ ก็อาจทำให้ขาด วิตามินเอ ดี อี เคได้ สำคัญการใช้ยาระบายทุกชนิด ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ลำไส้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้ต้องใช้ยาระบายตลอด ไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้เองตามปกติ

โดยสรุปหากไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาระบาย ให้รับประทานผัก ผลไม้และอาหารที่มีกากใยอาหารสูง ดื่มน้ำให้มากขึ้นและออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาระบาย ควรขอคำปรึกษาจากเภสัชกรใกล้บ้านก่อนเสมอ

 

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

เลขาธิการสภาเภสัชกรรม

Leave a comment