Life & Health : รู้จัก นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาที่ใช้รักษามะเร็งด้วยเซลล์และยีน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/734163

Life & Health : รู้จัก นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาที่ใช้รักษามะเร็งด้วยเซลล์และยีน

Life & Health : รู้จัก นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาที่ใช้รักษามะเร็งด้วยเซลล์และยีน

วันพุธ ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 06.10 น.

โรคมะเร็ง ถือเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของโลกรวมทั้งประเทศไทย จากสถิติขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ.2561 คาดการณ์ว่ามีจำนวนผู้ป่วยทั่วโลกที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งประมาณ 18 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มการเกิดโรคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 29 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีก 60%

ข้อมูลจาก ศ.นพ.บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะ “ปัญญาของแผ่นดิน” มียุทธศาสตร์สำคัญหลายประการที่จะช่วยขับเคลื่อนและร่วมพัฒนาประเทศ สนับสนุนพันธกิจของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการวิจัย ที่ส่งเสริมสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยมหิดล มีผลิตผลงานนวัตกรรมต่างๆ มากมาย ภายใต้นโยบายในการส่งเสริมสนับสนุนให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการระหว่างสาขาวิชาต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้พร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์งานวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม ความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมทำการวิจัยและพัฒนา เพื่อผลิตยาให้สามารถใช้ในประเทศไทยได้เอง ลดรายจ่ายในการดูแลสุขภาพ อีกทั้งยังลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ที่ในแต่ละปีประเทศไทยรับภาระค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล ซึ่งในครั้งนี้เป็นความสำเร็จในการพัฒนายารักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดบีเซลล์ ด้วยเซลล์และยีน หรือที่เรียกว่า CAR-T cell ซึ่งปัจจุบันโรคนี้มีการดื้อต่อยาที่ใช้รักษามากขึ้นและต้องนำเข้ายาจากต่างประเทศที่มีราคาสูงมากผลงานวิจัยในครั้งนี้ได้เริ่มนำมาใช้จริงในผู้ป่วย และประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นอนาคตที่สำคัญของวงการแพทย์ไทย

ข้อมูลจาก ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มีพันธกิจในการผลิตบัณฑิต การจัดบริการรักษาผู้ป่วย รวมถึงวิจัย พัฒนานวัตกรรมการแพทย์อยู่เสมอ ปัจจุบัน นอกจากจะพัฒนาด้านระบบการให้บริการ นวัตกรรมใหม่แล้ว ยังมีการผลักดันเรื่องงานวิจัยยาซึ่งมีจำนวนมาก แต่ยังคงติดในเรื่องของการไม่สามารถเข้าสู่ Clinical Trial ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตยาได้เองดังนั้น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้มีการขยายความร่วมมือกับสถาบันอื่นๆ เพื่อนำไปสู่การขึ้นทะเบียนยา ซึ่งในการดำเนินการผลิตภัณฑ์ยา CAR T-cell นับเป็นการรวมพลังจากภาครัฐและภาคเอกชนในการผลักดันให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และผลิตใช้ได้จริง ตามมาตรฐานสากล EMA (European Medicines Agency) และขณะนี้กำลังนำผลิตภัณฑ์ยานี้เข้าสู่กระบวนการการศึกษาวิจัย ในขั้นตอน IND (Investigational New Drug) ของสำนักงาน อย. เพื่อขึ้นทะเบียนรับรองตามมาตรฐานสากลต่อไป โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และมูลนิธิรามาธิบดี ที่ให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการครั้งนี้และที่สำคัญ คือ บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด ที่สนับสนุนโครงการเข้ารับรองมาตรฐานการผลิตยาและอื่นๆ อีกมากมายทำให้ได้มีผลิตภัณฑ์ยารักษามะเร็งฝีมือคนไทยเพื่อคนไทยด้วยเทคนิควิธีการตามมาตรฐานสากล

ข้อมูลจาก ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า การวิจัยนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาที่ใช้รักษามะเร็งด้วยเซลล์และยีน (CAR-T cell) โดยทีมแพทย์และอาจารย์นักวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เริ่มทำการวิจัยตั้งแต่ ปี พ.ศ.2557 จนสำเร็จ และสามารถนำไปใช้จริง ในผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จำนวน 10 ราย โดยเป็นผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด บี เซลล์ ที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดหลายขนาน ยามุ่งเป้าหลายชนิด ตลอดจนบางรายหลังปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดแล้วด้วย โดยทั้ง10 ราย หลังได้รับ CAR-T cell ตอบสนองจนโรคสงบทุกราย (100%) ทั้งนี้ ในขั้นตอนการดำเนินการเป็นการนำเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยหรือพ่อแม่พี่น้องผู้ป่วยมาทำการเพาะเลี้ยงและดัดแปลงพันธุกรรมในห้องปฏิบัติการที่ปลอดเชื้อ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ แล้วนำผลิตภัณฑ์ยา CAR-T cell มาให้ผู้ป่วยทางหลอดเลือดดำ หลังจากนั้นใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ พบว่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวหมดไปไม่พบทั้งในเลือดและไขกระดูก

ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหิดลได้ร่วมมือกับภาคเอกชน โดยมี บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด ได้ลงทุนในห้องปฏิบัติการระดับ GMP (good manufacturing practice) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตที่ได้การรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเมื่อ 18 มกราคม พ.ศ. 2566 ตามมาตรฐานสากล EMA (European Medicines Agency) และขณะนี้กำลังนำผลิตภัณฑ์ยานี้เข้าสู่กระบวนการการศึกษาวิจัย ในขั้นตอน IND (Investigational New Drug) ของสำนักงาน อย. เพื่อขึ้นทะเบียนรับรองตามมาตรฐานสากลอีกด้วย

ทำให้เพิ่มโอกาสคนไทยสามารถเข้าถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ยานี้ เนื่องจากต้นทุนต่ำลงมาก ซึ่งเป็นผลงานของนักวิจัยไทย 100% ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากโครงสร้างโมเลกุลแตกต่างชัดเจน โดยที่คุณสมบัติทำลายเซลล์มะเร็งยังได้ผลดีทั้งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง นอกจากนี้สามารถเตรียมการผลิตโดยใช้เม็ดเลือดขาวของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตนเอง ทำให้มีโอกาสได้มากขึ้น ทั้งนี้เพราะผู้ป่วยหลายรายไม่มีเม็ดเลือดขาวเพียงพอที่จะนำมาผลิต

CAR-T cell ที่ผลิตนี้นอกจากใช้ในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ชนิดบีเซลล์แล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิดบีเซลล์ได้ด้วย ในอนาคตทางมหาวิทยาลัยมหิดลเองกำลังวิจัยผลิตภัณฑ์ยา CAR-T cell สำหรับมะเร็งมัยอิโลมา มะเร็งกระดูก มะเร็งสมอง มะเร็งต่อมหมวกไต และอื่นๆ อีกตามมา กล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยมหิดล ได้วิจัยผลิตภัณฑ์ยา CAR-T cell ที่เคยมีราคาสูง ให้สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาและผลิตได้เองในประเทศด้วยต้นทุนที่ต่ำลงในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานสากลเป็นแห่งแรกในอาเซียน มีผลการรักษาในผู้ป่วยเบื้องต้นเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่าจะนำไปใช้ในผู้ป่วยวงกว้างได้ในเร็ววันนี้ ปัจจุบันได้รับการติดต่อจากประเทศเพื่อนบ้านในการถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวอีกด้วย

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Life & Health : เคล็ด (ไม่) ลับในการดูแลผิว

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/732682

Life & Health : เคล็ด (ไม่) ลับในการดูแลผิว

Life & Health : เคล็ด (ไม่) ลับในการดูแลผิว

วันพุธ ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 07.15 น.

ใครๆ ก็อยากมีผิวสวยสดใส ดูสุขภาพดีแลดูอ่อนเยาว์กว่าวัยทั้งนั้น เพราะนอกจากจะช่วยสร้างเสน่ห์ เสริมความมั่นใจให้กับคุณในทุกองศา ข้อมูลจาก ผศ.ดร.นพ.เทพ เฉลิมชัยเปิดเผย ปัจจัยทำให้ผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน เหี่ยวย่น หรือมีริ้วรอย นับเป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำลายผิวพรรณของเราทั้งหลาย ดังนี้

ศัตรูตัวร้ายทำลายผิว

●แสงแดด : ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิว ทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวแดงไหม้ ผิวคล้ำเสีย แห้งกร้านเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ ผิวมีริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย รวมถึงอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังอีกด้วย

● มลภาวะในอากาศ : ทั้งฝุ่นควัน มลพิษ และฝุ่น PM2.5 ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิว กระตุ้นการเกิดสิว ผิวมีผื่นแดงและแพ้ง่าย สูญเสียความชุ่มชื้น รูขุมขนกว้างผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอยได้

● อากาศแห้ง : ในฤดูหนาวหรือห้องแอร์จะมีความชื้นต่ำ ทำให้ผิวสูญเสียน้ำ เป็นเหตุให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวแตกแห้ง เป็นขุย

● แสงสีฟ้า : แสงจากจอมือถือ คอมพิวเตอร์ และหลอดไฟ จะไปทำลายคอลลาเจนชั้นใต้ผิวทำให้ผิวหน้าบางและหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอขาดความชุ่มชื้น ผิวเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่กว่าวัยเป็นฝ้า กระ และจุดด่างดำ

● ความเครียด : กระตุ้นให้เกิดสิวและยังทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังถูกทำลาย ผิวจึงหย่อนคล้อย ดูแก่กว่าวัย และยังมีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกายซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวของคุณ

● กาเฟอีน : เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ทำให้ผิวหนังขาดน้ำ แห้งส่งผลให้เกิดรอยเหี่ยวย่น และผิวขาดความยืดหยุ่น

● บุหรี่ : การสูบบุหรี่ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี คอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลาย ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ไม่สดใส หน้าแก่กว่าวัยและเกิดริ้วรอย 

ผิวเป็นอวัยวะที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แถมมีปัจจัยต่างๆ เร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้นอีกด้วย ดังนันคุณผู้หญิงทั้งหลายจึงควรดูแลผิว โดยเริ่มบำรุงดูแลผิวตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อปกป้องสุขภาพผิวให้แข็งแรง

ขั้นตอนการใช้สกินแคร์ดูแลผิวหน้า

1.คลีนเซอร์ หรือ สบู่เหลว เจล โฟม เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางออกให้สะอาดหมดจด

2.โทนเนอร์ เพื่อปรับสภาพผิวให้พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป โดยมีส่วนผสมต่างๆ เช่น กรดไฮยาลูรอนิค กรดซาลิซิลิก กรดแลกติค ฯลฯ เพื่อช่วยให้ความชุ่มชื้นผิวกระจ่างใส หรือลดการเกิดสิว

3.อายครีม บำรุงผิวรอบดวงตาอย่างอ่อนโยน ส่วนมากจะมีส่วนผสมของ นิวโรเปปไทด์กรดไฮยาลูรอนิค แอลฟาไลโพอิกแอซิด สารสกัดจากชาเขียว ฯลฯ เพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอย พร้อมบำรุงผิวรอบดวงตาให้ชุ่มชื้น

4.เอสเซนส์หรือโลชั่น มีเนื้อบางเบาและเหลวแบบน้ำ ซึมเข้าผิวได้ดีที่สุด มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน กรดไกลโคลิค วิตามินบี 3หรือไนอะซินาไมด์ ฯลฯ ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวหน้าให้แข็งแรงพร้อมเติมความชุ่มชื่น

5.เซรั่ม มีความเข้มข้นสูง อุดมด้วยสารต่างๆ เช่น วิตามินซี เปปไทด์ AHA ที่ตัวช่วยฟื้นบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก

6.มอยเจอร์ไรเซอร์ มีเนื้อข้นที่สุดช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว มีส่วนผสมสำคัญต่างๆ เช่น เซราไมด์ กลีเซอรีน คอลลาเจน กรดซาลิซิลิก ฯลฯ

7.ครีมกันแดด ควรมีค่า SPF 30 PA+++ ขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ในตอนกลางวัน เพื่อป้องกันผิวจากรังสี UV ตัวการร้ายทำลายผิว

เคล็ดลับผิวสวยเป๊ะปัง

● ผิวสวยด้วยอาหาร เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักสด ผลไม้ ซึ่งมีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อช่วยบำรุง ซ่อมแซม ต้านความเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง และช่วยระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น

● หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ เช่น แสงแดด ความเครียด การอดนอน หรือการสูบบุหรี่ เป็นต้น

● ดื่มน้ำบ่อยๆ โดยเฉพาะน้ำเปล่าอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว กำจัดสารพิษและของเสียออกทางเหงื่อ

● การพักผ่อนให้เต็มอิ่ม ควรนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวได้ซ่อมแซม ฟื้นฟู สร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่เซลล์เก่า ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยให้ผิว

● ฟิตทุกวันด้วยการออกกำลังกาย ช่วยให้เลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงผิวหนังมากขึ้น ขับสารพิษและสิ่งอุดตันในรูขุมขนใต้ผิวหนังออกมา และช่วยคลายความเครียดได้ดี

● บำรุงทุกวัน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างถูกวิธี เพื่อสร้างเกราะป้องกัน เพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี พร้อมปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 PA+++ เป็นประจำ

สำหรับผู้มีที่ต้องการช่วยเหลือนักศึกษาพิการจำนวน 165 คน ข้อมูลจาก นายคำพันธุ์ ราชดา ผู้อำนวยการ วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา เปิดเผยว่า วิทยาลัยเทคโนโลยี พระมหาไถ่ พัทยา สถานศึกษาเพื่อคนพิการ เดือดร้อนหนักได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของโลกและของประเทศที่ตกต่ำในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา เผยยอดบริจาคลดน้อยลงอย่างต่อเนื่องกระทบหนักถึงคนพิการ ดังนั้น วิทยาลัยฯ พระมหาไถ่ พัทยา จึงเปิดโครงการ “365 วันทำความดี เพื่อคนพิการสู่การเป็นผู้ให้ที่มีความสุข” เพื่อเชิญชวนสถานประกอบการร่วมจัดกิจกรรมส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) เพื่อต่อลมหายใจให้คนพิการ ด้วยการมอบสิ่งของ ทุนอาหาร ทุนการศึกษาแก่นักเรียน และนักศึกษาคนพิการ ให้อิ่มท้อง 3 มื้อ ได้เรียนหนังสือ ฝึกทักษะชีวิต มีอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน พร้อมเชิญชวนพี่น้องทั่วประเทศเยี่ยมชมให้กำลังใจกับน้องๆ ผู้พิการที่ศึกษาอยู่ในวิทยาลัยเทคโนโลยี พระมหาไถ่ พัทยา และบริจาคได้ที่ เลขที่บัญชี 3424736274 ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางละมุง ออมทรัพย์ โดยใบเสร็จสามารถหักภาษีได้

นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล

ร่วมบรรยายพิเศษให้ศัลยแพทย์จากทั่วโลก

Life & Health : รู้จัก AI เทคโนโลยีช่วยงานผู้นำยุคดิจิทัล

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/731280

Life & Health : รู้จัก AI เทคโนโลยีช่วยงานผู้นำยุคดิจิทัล

Life & Health : รู้จัก AI เทคโนโลยีช่วยงานผู้นำยุคดิจิทัล

วันพุธ ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เป็นเทคโนโลยีที่สร้างความฉลาดเทียมให้กับเครื่องจักร หุ่นยนต์ หรือคอมพิวเตอร์ ให้มีคุณลักษณะทางด้านสติปัญญาและความฉลาดเหมือนมนุษย์ โดยใช้แนวคิดจากการทำงานของสมองมนุษย์ เพื่อใช้ในการประมวลผลข้อมูล การคิดอย่างมีเหตุผล การกระทำอย่างมีเหตุผล และการเรียนรู้จากประสบการณ์ AI สามารถแบ่งประเภทได้ตามระบบการประมวลผลและระดับความสามารถ เช่น Machine Learning, Natural
Language Processing (NLP), Computer Vision, Generative AI, Predictive AI, Analytical AI เป็นต้น

ปัจจุบัน AI ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานทางธุรกิจหลากหลายหน้าที่ทั้งด้านการตลาด การบริการลูกค้าการขาย การค้นคว้าและวิจัย การผลิต การบัญชีและการเงิน การพัฒนาบุคลากร และอื่นๆ AI มีประโยชน์ในหลายด้าน เช่น การยกระดับการให้บริการลูกค้า, การเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามงาน, การยกระดับคุณภาพของงาน และลดความผิดพลาดในการทำงาน, การเพิ่มประสิทธิภาพ และผลผลิตในการทำงาน, การทำธุรกิจได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น, การสร้างขีดความสามารถใหม่ให้กับธุรกิจและการขยายโมเดลทางธุรกิจ, รวมทั้งการบริหารบุคลากรในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม AI ก็มีข้อเสียบ้าง เช่น AI อาจขาดความคิดสร้างสรรค์ เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของข้อมูล เป็นอุปสรรคต่อการจ้างงานของมนุษย์ หรือไม่สามารถดำเนินการนอกข้อมูลที่คุณป้อนได้ เป็นต้น

ข้อมูลจาก ภก.คงเกียรติ ฉัตรหิรัญทรัพย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บียอนด์ เทรนนิ่ง จำกัด (Beyond Training) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทได้จัด Beyond Training Open house Adaptive Leadership Forum 2023 นวัตกรรมในการพัฒนาผู้นำยุคใหม่ ให้ปรับตัวไว เพื่อพัฒนาผู้นำฉบับเร่งด่วนเพื่อให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืนในยุคดิจิทัล โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหารจากองค์กรระดับประเทศมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ในช่วงเสวนามากมาย

แม้เทคโนโลยี AI จะสามารถสร้างรูปภาพ เขียนโค้ดและเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้คนทำงานมากขึ้น การมองหาและรักษา Talent ด้านการเขียนโค้ดที่หลายบริษัทมองว่าเป็นมนุษย์ทองคำ อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป เพราะต่อไป AI สามารถช่วยเขียนโค้ดได้ ด้วยความสามารถของ AI ที่พัฒนาเร็วขึ้นทุกวัน ดังนั้นทีม HR จำเป็นต้องเรียนรู้
และวางแผนการจ้างงาน การอบรมพัฒนาบุคลากร ว่าพวกเขาควร Up Skill, Re Skill ด้านไหนบ้างจึงจะตอบโจทย์โลกการทำงานยุค AI นี้ ซึ่ง Beyond Training เองมีความพร้อมที่จะเป็น Total Training Solution ให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศได้พัฒนาศักยภาพพนักงานในองค์กรอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะผู้นำยุคใหม่ ผ่านโปรแกรมหลักสูตร Adaptive Leadership Series ที่พร้อมจะพาบุคลากรก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแบบ Adaptive Leadership เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่โลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความผันผวนในยุคดิจิทัลใหม่นี้

ข้อระวังในการใช้ AI คือ อย่านำข้อมูลบริษัทไปให้เทคโนโลยี AI ภายนอกวิเคราะห์เด็ดขาด การใช้เทคโนโลยี AI ให้เป็นประโยชน์สูงสุดในการทำงาน ควรใช้เฉพาะเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงานที่ไม่กระทบกับองค์กรเท่านั้น เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้จะมีการจัดเก็บข้อมูลและคำถามที่เราได้ป้อนให้ AI ตอบโต้ เขาอาจนำข้อมูลไปต่อยอดหรือทำอะไรก็ได้ มีบริษัทหลายที่ต้องการซื้อเทคโนโลยี AI ไปใช้ในบริษัทเป็นการส่วนตัวเพื่อป้องกันปัญหานี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรนำข้อมูลสำคัญของบริษัทไปให้ AI ภายนอก ช่วยวิเคราะห์ อาจมีคนทำงานรุ่นใหม่หรือคนที่ต้องการทำงานให้ได้ผลลัพธ์เร็ว นำข้อมูลของบริษัทไปให้เทคโนโลยี AI ภายนอกที่เสียเงินซื้อแล้ววิเคราะห์ เพราะคิดว่าเสียเงินซื้อแล้วย่อมปลอดภัย แต่ความจริงทางเจ้าของเทคโนโลยีอาจได้ข้อมูลสำคัญของบริษัทเราไปกลายเป็น Open DATA อาจรั่วไหลถึงคู่แข่ง เกิดเป็นความเสียหายที่มิอาจตีเป็นราคาได้ แต่ในกรณีที่ซื้อเทคโนโลยี AI ปรับแต่งและใช้ภายในบริษัทโดยเฉพาะ เครื่องมือนี้จะช่วยให้คนทำงานทุกภาคส่วนสะดวกสบาย มี Productivity ที่ดีขึ้น และที่สำคัญ คือปลอดภัย รัดกุม ข้อมูลไม่รั่วไหล

ข้อมูลที่จาก โอม ศิวะดิตถ์ ผู้บริหาร บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยกกรณี ChatGPT ที่สามารถคิดและสร้างคอนเทนต์ เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยี ที่คนไทยบางส่วนกลัวว่าจะมาแย่งงาน โดย ChatGPT เป็นเทคโนโลยี AI ที่สามารถสร้างตัวอักษร ข้อความ โต้ตอบกับมนุษย์ได้ สามารถเข้าใจบริบทอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่มนุษย์ต้องการ เช่น ป้อนข้อมูลว่าอยากได้สโลแกนร้านอาหาร ChatGPT ก็สามารถคิดคำได้อย่างสละสลวยและคล้องจองกัน รวมทั้ง
เข้าใจรูปภาพ เข้าใจบริบทที่เกิดขึ้นในภาพ หากเราคุยกับ AI ในโปรแกรม Microsoft Bing โดยทดลองปรึกษาว่าอยากเปลี่ยนสายงาน สิ่งที่ AI โต้ตอบไม่ใช่การแนะนำทันที แต่กลับถามข้อมูลบางส่วน ถามเหตุผลว่าทำไมถึงอยากเปลี่ยนสายงานเมื่อเก็บข้อมูลครบถ้วนแล้ว AI จึงจะเสนอแนวทางการพัฒนาตัวเองและแผนการเติบโตและการย้ายงานให้ ถือเป็นนวัตกรรมที่พลิกล็อกครั้งใหญ่ให้กับคนทำงานและ HR ทีเดียว

ทั้งนี้ ปัจจุบันเทคโนโลยี AI ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์ แต่จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญ เปรียบคนทำงานเป็นนักบิน ส่วนเทคโนโลยี AI เป็นผู้ช่วย ทำให้คนทำงานสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น สร้าง Productivity มากขึ้น ถ้าอยากได้ภาพประกอบการทำงาน ก็ป้อนคำสั่งให้ AI ช่วยสร้าง อยากได้อีเมลภาษาอังกฤษที่ถูกหลักไวยากรณ์ ภาษาสวย ก็ป้อนข้อมูลให้ AI ช่วยคิดได้ AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์แต่ถ้าคนที่ไม่ยอมปรับตัว ไม่ยอมเรียนรู้วิธีใช้งานเทคโนโลยี AI ต่างหากที่จะถูกแทนที่ การต่อต้านเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI ก็เหมือนโต้คลื่นการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ถ้าหากเรายอมรับและเรียนรู้ ค่อยๆ ไต่ระดับไปพร้อมกับคลื่นความเปลี่ยนแปลง โอกาสที่จะถึงฝั่งก็เร็วและสะดวกมากขึ้น

ซึ่งสิ่งท้าทายขององค์กรในโลกการทำงานยุคใหม่ นั้น โอม-ศิวะดิตถ์ ให้ความเห็นว่า Do More With Less ไม่ใช่การประหยัดต้นทุน แต่ทำในสิ่งที่ให้มูลค่าสูง แต่ลงทุนในด้านทรัพยากรน้อย ทำอย่างไรให้มี Innovation มากขึ้นและใช้ทรัพยากรลดลง ใช้เทคโนโลยีมาช่วย ต้องลงทุนแบบ Zero Waste องค์กรที่บริหารจัดการด้วยเทคนิค Do More With Less ได้ จะเป็นองค์กรที่ชนะในการแข่งขันของโลกการทำงานยุคใหม่ องค์กรต้อง Speed to Market เข้าตลาดได้ไว ต้องเข้าใจ AI และ Data ลงมือทำที่รวดเร็ว ไม่ต้องกลัวความล้มเหลว เพราะยุคนี้เป็นยุคของการแข่งขันต้องมีความรวดเร็ว ลองผิดลองถูก เพื่อหาเส้นทางที่ดีที่สุดในการเติบโตในธุรกิจยุคดิจิทัลนี้

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Life & Health : หลอดเลือดสมองตีบตัน รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/729645

Life & Health : หลอดเลือดสมองตีบตัน รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต

Life & Health : หลอดเลือดสมองตีบตัน รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต

วันพุธ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 06.10 น.

โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ที่เป็นมักมีอาการอย่างเฉียบพลันแต่หากมาถึงมือแพทย์เร็วทันเวลา ก็มีโอกาสรักษาให้หายเป็นปกติได้

ข้อมูลจาก นายแพทย์พงศกร พงศาพาส ประสาทศัลยแพทย์ โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke เกิดจากการที่หลอดเลือดสมองมีการอุดตัน ตีบ หรือแตก ทำให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการแสดง เช่น หน้าเบี้ยว ตาพร่ามัวมองเห็นภาพซ้อน อ่อนแรง ชาครึ่งซีก หรือเป็นอัมพาตแบบครึ่งซีกพูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้ เป็นต้น โดยมักเกิดในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป แต่พบได้มากในกลุ่มผู้สูงอายุเนื่องจากหลอดเลือดเสื่อมตามวัย

ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่

l โรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 mmHg เป็นระยะเวลานาน จะทำให้หลอดเลือดเสื่อมการทำงานเร็วกว่าปกติ ส่งผลทำให้มีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดตีบ แตก หรืออุดตันได้

l โรคเบาหวาน ทำให้เกิดผนังหลอดเลือดเสื่อมการทำงาน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงการเกิดปัญหาหลอดเลือดสมองต่างๆ ที่กล่าวมาได้

l โรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคผนังหัวใจรั่ว โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดกระจายไปอุดเส้นเลือดสมองได้

l โรคไขมันโลหิตสูง ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด เกิดการสะสมไขมันที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดเสื่อม ส่งผลทำให้มีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดตีบ แตก หรืออุดตันได้

l การสูบบุหรี่ มีสารที่เร่งความเสื่อมของหลอดเลือดสมอง เกิดภาวะโรคทางหลอดเลือดสมองได้มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 6 เท่า ดังคำกล่าวที่ว่า “The more you smoke the more you stroke”

l ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดการทำงานของหัวใจที่ผิดปกติ ก่อให้เกิดภาวะลิ่มเลือดกระจายไปอุดตันหลอดเลือดสมองและอวัยวะต่างๆ ได้

l โรคอ้วน และขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหลอดเลือดและหัวใจได้ เป็นปัจจัยที่ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดสมองเสื่อม และเพิ่มการทำงานของหัวใจ ช่วยลดการเกิดปัญหาหลอดเลือดสมองได้อย่างมาก

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจสมองด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Scan),การตรวจด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI และ MRA), การตรวจการไหลเวียนเลือดของหลอดเลือดในสมอง (Transcranial Doppler : TCD), และการตรวจหลอดเลือดคอ (Carotid Doppler) เป็นต้น ซึ่งผลการตรวจที่แม่นยำจะสามารถช่วยให้แพทย์วางแผนการป้องกัน และรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง

สำหรับหลักการของการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง คือการทำให้เซลล์ของสมองยังอยู่รอดให้ได้นานที่สุดโดยการที่เลือดไหลเวียนได้ทันเวลาและในระดับที่เหมาะสม จะสามารถทำให้เนื้อสมองที่ได้รับผลกระทบฟื้นตัวได้เร็ว ส่งผลให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติได้ โดยในระยะแรกที่เกิดอาการ แพทย์จะทำการประเมินผู้ป่วย หากมีข้อบ่งชี้ของการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดและไม่มีข้อห้าม แพทย์จะให้ยาละลายลิ่มเลือดภายใน 4.5 ชั่วโมง แต่ในกรณีที่มีหลอดเลือดสมองขนาดใหญ่อุดตัน แพทย์จะรักษาโดยการใช้สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบและขึ้นไปที่สมอง เพื่อนำเอาลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดออกมา (Mechanical thrombectomy) การรักษาที่สามารถทำได้รวดเร็ว ส่งผลให้การบาดเจ็บของสมองที่เกิดขึ้นน้อยลง และได้ผลลัพธ์การทำงานของสมองที่ดี

ผู้ป่วยควรควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการเพื่อลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่

l ควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ

l หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวสูง

l หลีกเลี่ยงสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

l ควบคุมระดับน้ำตาลในโรคเบาหวาน

l ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

l รับประทานผลไม้และผักให้มากยิ่งขึ้น

l และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

โรคหลอดเลือดสมองมักส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและคนรอบข้าง ดังนั้น นอกจากการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง สิ่งสำคัญคือหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะหากรู้ตัวเร็ว ยังมีโอกาสรักษาได้ทัน และลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้

ข้อมูลจาก นางสาววรรณวนัช กันพรม ผู้จัดการโรงเรียนเด็กพิเศษคุณพ่อเรย์ สถานศึกษาสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาที่อยู่ในความดูแลกว่า 172 คนซึ่งเด็กที่อยู่ในโรงเรียนเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา การเรียนรู้ ออทิสติก และมีความพิการซ้อนเช่น หูหนวก ตาบอด ซึ่งต้องการความดูแลอย่างใกล้ชิดโรงเรียน ต้องการส่งเสริมศักยภาพเด็กเหล่านี้ได้พึ่งพาตนเองและดำรงชีวิตอิสระในสังคมอย่างมีความสุข โดยทางโรงเรียนฯ ได้ร่วมกับศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จ.ชลบุรี จัดให้มีการศึกษาเฉพาะบุคคลในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานและสร้างอาชีพ จัดการฝึกอบรมและมีกิจกรรมพิเศษเฉพาะกลุ่ม โดยมีอุปกรณ์สื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ พร้อมอาหารมื้อเที่ยงโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ

ช่วงหน้าร้อนนี้ “รร.เด็กพิเศษคุณพ่อเรย์” ชวนคนไทยทำบุญ พร้อมรับกระเป๋าผ้างานแฮนด์เมดจากน้องผู้พิการที่นำสตอรี่งานศิลป์มาลงบนผืนผ้าทำให้เกิดชิ้นงานสร้างสรรค์ เป็นแฟชั่นฮิตติดเทรนด์ เพื่อแทนคำขอบคุณจากน้องๆ สำหรับผู้ใหญ่ใจบุญที่ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กพิเศษ “รร.เด็กพิเศษคุณพ่อเรย์” ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บริจาคตั้งแต่ 1,000 บาท รับกระเป๋าผ้าฟรี! ทันที โดยผู้มีจิตศรัทธา สามารถบริจาคช่วยเด็กนักเรียนพิเศษได้โดยตรงที่ ธนาคารกรุงไทย 591-6-00135-5 ชื่อบัญชี โรงเรียนเด็กพิเศษคุณพ่อเรย์ และนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สอบถามรายละเอียดที่โทรศัพท์ 092-7390990 หรือเฟซบุ๊ก ชื่อ : เด็กพิเศษพระมหาไถ่

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Life & Health : ร่วมกันต้านภัย..มะเร็งช่องปาก

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/728261

Life & Health : ร่วมกันต้านภัย..มะเร็งช่องปาก

Life & Health : ร่วมกันต้านภัย..มะเร็งช่องปาก

วันพุธ ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 07.00 น.

แนวโน้มการเกิดโรคมะเร็งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องสถิติขององค์การอนามัยโลก คาดการณ์ว่ามีจำนวนผู้ป่วยทั่วโลกที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งประมาณ 18 ล้านคน และอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 29 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีก 60% สำหรับประเทศไทยโรคมะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยมาตลอดช่วงเวลากว่า 20 ปี และยังพบผู้ป่วยรายใหม่ต่อปีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากข้อมูลสถิติโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่า แต่ละปีจะมีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ ประมาณ 140,000 คน หรือคิดเป็นประมาณ 400 คนต่อวัน และเสียชีวิตปีละประมาณ 80,000 คนต่อปีหรือกว่า 200 คนต่อวัน

ข้อมูลจาก นพ.เอกภพ แสงอริยวนิช แพทย์เฉพาะทางสาขาโสต ศอ นาสิก สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์เปิดเผยว่า มะเร็งช่องปาก เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยในคนไทย โดยเฉพาะในเพศชาย โดยจากสถิติข้อมูลมะเร็งประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2559-2561 (Cancer in Thailand Vol. X 2016-2018) ซึ่งรวบรวมโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่า มะเร็งช่องปากเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับที่ 6 ของโรคมะเร็งในผู้ชายไทย และในแต่ละปี มีผู้ป่วยมะเร็งช่องปากรายใหม่เฉลี่ย 3,840 คนต่อปี หรือวันละ 11 คน โดยตำแหน่งในช่องปากที่พบว่าเป็นมะเร็งบ่อยที่สุดคือ ลิ้น รองลงมาคือบริเวณใต้ลิ้น และบริเวณเหงือก

สาเหตุการเกิดโรคมะเร็งช่องปาก

สาเหตุในการเกิดโรคมะเร็งช่องปากที่สำคัญ คือ การสูบบุหรี่ ยาสูบ ยาเส้น, การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการเคี้ยวหมากพลู นอกจากนี้สาเหตุอื่นๆ ที่พบได้ เช่น การเป็นแผลเรื้อรังในช่องปาก, การติดเชื้อไวรัสhuman papilloma virus (HPV), การใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดี, สุขภาพช่องปากไม่ดีหรือมีฟันผุมาก, มีฟันที่แหลมคม, ได้รับแสงอาทิตย์โดยตรงเป็นประจำ (เสี่ยงต่อมะเร็งริมฝีปาก) และพันธุกรรม ผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งช่องปากมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

อาการของโรคมะเร็งช่องปาก

อาการของโรคมะเร็งช่องปาก มีได้หลายอาการขึ้นกับตำแหน่งที่เป็น ได้แก่ เป็นแผลเรื้อรังในช่องปากซึ่งอาจมีลักษณะคล้ายแผลร้อนในแต่ต่างกันที่ไม่หายภายใน 2-3 สัปดาห์ และไม่ค่อยมีอาการเจ็บปวด หรือเป็นแผลเรื้อรัง
ที่มีลักษณะก้นแผลลึกลงขอบแข็ง, เป็นก้อนนูนอาจมีลักษณะคล้ายหงอนไก่หรือดอกกะหล่ำ หรือฝ้าขาวหรือแดงในช่องปาก, มีเลือดออกผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ,ฟันหลุด, ฟันโยก, อ้าปากได้น้อยลง มะเร็งอาจมีการลุกลามไปยังอวัยวะหรือเนื้อเยื่อข้างเคียงทำให้มีอาการปวดหรือชาที่กราม, ปวดหู, กลืนลำบาก, เสียงเปลี่ยน หรือมีก้อนที่คอ

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งช่องปาก

สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งช่องปาก ทำโดยการตัดชิ้นเนื้อรอยโรคที่สงสัยเพื่อตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา และหลังจากได้รับการวินิจฉัยแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อประเมินระยะของโรคเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป

การรักษามะเร็งช่องปาก

การรักษามะเร็งช่องปาก ขึ้นอยู่กับระยะของโรครวมถึงสภาพร่างกาย โรคประจำตัวของผู้ป่วย โดยจะพิจารณาการผ่าตัดเป็นอันดับแรก ซึ่งในการผ่าตัดนอกจากจะทำการผ่าตัดมะเร็งในช่องปากแล้ว ผู้ป่วยยังอาจได้รับการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่คอร่วมด้วย และหลังผ่าตัดผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องรับรังสีรักษาเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำด้วย สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการผ่าตัดได้ ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยวิธีรังสีรักษาร่วมกับเคมีบำบัด ซึ่งให้ผลการรักษาที่ใกล้เคียงกับการผ่าตัด ในช่วงหลังการรักษา แพทย์จะนัดติดตามอาการและการกลับมาเป็นซ้ำของโรคของผู้ป่วยทุกๆ 3 ถึง 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม การป้องกันการเกิดโรคย่อมดีกว่าการรักษาเมื่อป่วยแล้ว วิธีการป้องกันโรคมะเร็งช่องปาก ได้แก่ งดสูบบุหรี่หรือสูดดมควันบุหรี่, งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ไม่เคี้ยวหมาก, ใส่ฟันปลอมที่พอดี,หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดที่ใบหน้าโดยตรงเป็นประจำ,การรับประทานผักผลไม้เป็นประจำ และการตรวจเช็คสุขภาพช่องปากและฟันทุก 6 เดือน

การตรวจหารอยโรคแผล หรือก้อนในช่องปากด้วยตนเอง

เนื่องจากช่องปากเป็นตำแหน่งที่สามารถมองเห็นไม่ยาก ดังนั้น ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจหารอยโรคแผลหรือก้อนในช่องปากด้วยตนเองได้ ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้หลังจากแปรงฟันแล้ว ให้ส่องกระจกตรวจบริเวณดังต่อไปนี้

(1) ริมฝีปาก โดยสังเกตริมฝีปากด้านนอก ดึงริมฝีปากบนและล่างเพื่อตรวจดูเยื่อบุริมฝีปากด้านใน

(2) กระพุ้งแก้ม และเหงือก โดยใช้นิ้วดึงกระพุ้งแก้มออกไปด้านข้าง ตรวจดูบริเวณกระพุ้งแก้มและเหงือกบน-ล่าง

(3) ลิ้น ใต้ลิ้น และพื้นช่องปาก โดยอ้าปาก แลบลิ้น ยื่นลิ้นหรือดึงลิ้นด้วยผ้าก๊อซหรือกระดาษทิชชู่ไปทางซ้ายและขวาเพื่อตรวจดูด้านข้างของลิ้น กระดกลิ้นขึ้น เพื่อตรวจดูบริเวณใต้ลิ้นและพื้นของช่องปาก รวมถึงเหงือกด้านล่าง และ

(4) เพดานปาก โดยอ้าปาก เงยหน้า ตรวจดูเพดานปาก รวมถึงบริเวณเหงือก

จะเห็นได้ว่ามะเร็งช่องปากเป็นมะเร็งที่ป้องกันและตรวจคัดกรองได้ด้วยตนเองได้ไม่ยาก หากท่านมีอาการผิดปกติ หรือตรวจช่องปากด้วยตนเองแล้ว สงสัยว่ามีความผิดปกติ ท่านควรไปปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันบริการคัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปาก เป็นสิทธิประโยชน์ที่บอร์ด สปสช. ได้อนุมัติเมื่อเดือนธันวาคม 2564 เพื่อให้ประชาชนอายุ 40 ปีขึ้นไป ทุกสิทธิ ได้รับบริการคัดกรองปีละ 1 ครั้ง โดยบุคลากรทางการแพทย์

สามารถติดตามข่าวสารความรู้เรื่องโรคมะเร็งจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์
ส่งเสริมความรอบรู้สู้ภัยมะเร็ง http://allaboutcancer.nci.go.th/เว็บไซต์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง https://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ และ Line : NCI
รู้สู้มะเร็ง

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Life & Health : ‘ฮีทสโตรก’ภัยใกล้ตัวหน้าร้อน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/726609

Life & Health : ‘ฮีทสโตรก’ภัยใกล้ตัวหน้าร้อน

Life & Health : ‘ฮีทสโตรก’ภัยใกล้ตัวหน้าร้อน

วันพุธ ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2566, 07.00 น.

สภาพอากาศในช่วงนี้ร้อนแรงจนทำให้ใครหลายคนเหงื่อตก จนไม่กล้าสู้แดดไปตามๆกัน โดยแสงแดดและอากาศที่ร้อนระอุในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะวันที่ 27 เมษายนนี้ เวลา 12.16 น. กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งว่า จะเกิดปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์จะตั้งตรงศีรษะ หรือตั้งฉากกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งอุณหภูมิจะสูงปรี๊ด แบบที่เรียกว่าร้อนปรอทแตก ส่งผลให้ผู้ที่อยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานๆ อาจมีความเสี่ยงอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ จากโรคลมแดด หรือ “ฮีทสโตรก” เนื่องจากร่างกายปรับสภาพไม่ทัน

นายแพทย์นริศ สมิตาสิน อายุรแพทย์โรคสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า โรคลมแดด หรือฮีทสโตรก จะมาพร้อมกับอากาศที่ร้อนจัดจนทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน เมื่อความร้อนในร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส สมองส่วนควบคุมอุณหภูมิของร่างกายจะเกิดความผิดปกติ จนส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมอง สำหรับกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้ ได้แก่

• ผู้ที่ต้องทำงานกลางแดดหรือออกกำลังกายกลางแดดเป็นเวลานาน

• กลุ่มคนที่เป็นโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน

• กลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งร่างกายจะระบายความร้อนได้ไม่ดีเหมือนวัยหนุ่มสาว

• ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน

• ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ

• ผู้ที่ทำงานในห้องแอร์เย็นๆ แล้วต้องออกมาเจออากาศร้อนจัด อาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน

• ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะร่างกายจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากกว่าปกติ

สำหรับสัญญาณเตือนที่สำคัญของโรคฮีทสโตรกที่สามารถสังเกตได้เริ่มจาก

• เมื่อมีอากาศร้อนแต่ไม่มีเหงื่อออก

• หน้าแดง ตัวร้อนจัด

• กระหายน้ำ

• วิงเวียน ปวดศีรษะ คลื่นไส้

• หายใจเร็ว กล้ามเนื้อเกร็ง มึนงง

• มีอาการชัก รูม่านตาขยาย ความรู้สึกตัวน้อยลง จนหมดสติ

หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกต้องอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งการช่วยเหลือเบื้องต้น ควรพาผู้ป่วยเข้าร่ม นอนราบ ยกเท้าสูง ปลดหรือคลายเสื้อผ้าที่รัดแน่นออก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบตามตัว โดยเฉพาะข้อพับ ขาหนีบ ซอกคอ เพราะเป็นจุดที่ความร้อนสะสมอยู่เยอะ และใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงอย่างรวดเร็วที่สุด และรีบนำส่งโรงพยาบาล

การดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคลมแดด

สำหรับการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคลมแดด ผู้ที่มีความเสี่ยงควรหลีกเลี่ยงการต้องทำงานที่อยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานานควรพักเข้าร่มเป็นระยะ เพราะถ้าอยู่กลางแดดนานจะทำให้ความร้อนสะสมได้ ส่วนในกลุ่มนักกีฬาและกลุ่มที่ชอบออกกำลังกายไม่ควรออกกำลังกายกลางแดดแต่เลือกออกกำลังกายในช่วงเช้าหรือเย็นแทน หลีกเลี่ยงไปอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนจัด ไม่ควรให้เด็ก ผู้สูงอายุ อยู่ในรถที่จอดรถทิ้งไว้กลางแจ้งเป็นเวลานาน ในช่วงฤดูร้อนควรมีอุปกรณ์ป้องกันแสงแดด เช่น หมวกหรือร่ม เลือกเสื้อผ้าที่โปร่ง ไม่หนา มีสีอ่อนจะช่วยระบายความร้อนได้ดี ควรดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว และดื่มน้ำระหว่างวันแม้จะไม่กระหายน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นและลดอุณหภูมิในร่างกาย และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ

ฮีทสโตรก เป็นโรคที่มีความรุนแรงและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ในช่วงฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนจึงจำเป็นต้องทราบถึงสัญญาณเตือนในการเกิดโรค จัดควรหมั่นสังเกตอาการตัวเองและบุคคลใกล้ชิดที่เป็นกลุ่มเสี่ยง หากพบว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ขอให้รีบมาพบแพทย์ทันทีเพื่อลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต

สำหรับช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ “รร.เด็กพิเศษคุณพ่อเรย์” ชวนคนไทยทำบุญรับเทศกาลปีใหม่ไทย พร้อมมอบกระเป๋าผ้างานแฮนด์เมดจากน้องผู้พิการที่นำสตอรี่งานศิลป์มาลงบนผืนผ้าทำให้เกิดชิ้นงานสร้างสรรค์ เป็นแฟชั่นฮิตติดเทรนด์ เพื่อแทนคำขอบคุณจากน้องๆ สำหรับผู้ใหญ่ใจบุญที่ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กพิเศษ “รร.เด็กพิเศษคุณพ่อเรย์” ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บริจาคตั้งแต่ 1,000 บาท รับกระเป๋าผ้าฟรี! ทันที โดยผู้มีจิตศรัทธา สามารถบริจาคช่วยเด็กนักเรียนพิเศษได้โดยตรงที่ ธนาคารกรุงไทย 591-6-00135-5 ชื่อบัญชี โรงเรียนเด็กพิเศษคุณพ่อเรย์ และนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สอบถามรายละเอียดที่โทรศัพท์ 092-7390990 หรือเฟชบุ๊ก ชื่อ : เด็กพิเศษพระมหาไถ่

ข้อมูลจาก นางสาววรรณวนัช กันพรม ผู้จัดการโรงเรียนเด็กพิเศษคุณพ่อเรย์ สถานศึกษาสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาที่อยู่ในความดูแลกว่า 172 คน ซึ่งเด็กที่อยู่ในโรงเรียนเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา การเรียนรู้ ออทิสติก และมีความพิการซ้อน เช่น หูหนวก ตาบอด ซึ่งต้องการความดูแลอย่างใกล้ชิด โรงเรียนต้องการส่งเสริมศักยภาพเด็กเหล่านี้ได้พึ่งพาตนเองและดำรงชีวิตอิสระในสังคมอย่างมีความสุข โดยทางโรงเรียนได้ร่วมกับศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จ.ชลบุรี จัดให้มีการศึกษาเฉพาะบุคคลในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานและสร้างอาชีพ จัดการฝึกอบรมและมีกิจกรรมพิเศษเฉพาะกลุ่ม โดยมีอุปกรณ์สื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ พร้อมอาหารมื้อเที่ยงโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

LIFE & HEALTH : เทคนิคค้นหา พัฒนา รักษา Talent ขององค์กรในยุคดิจิทัล

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/725165

LIFE & HEALTH :  เทคนิคค้นหา พัฒนา รักษา Talent ขององค์กรในยุคดิจิทัล

LIFE & HEALTH : เทคนิคค้นหา พัฒนา รักษา Talent ขององค์กรในยุคดิจิทัล

วันพุธ ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

องค์กรในยุคดิจิทัลนี้นอกจากจะมีปัญหาเรื่องของการบริหารงานในปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจถดถอยและแข่งขันสูง การรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กร และการสรรหาคนดีคนเก่งเข้ามารวมงาน รวมทั้งการสร้างคนดีคนเก่งให้เก่งกว่าเดิมให้ได้อีกด้วย
ที่สำคัญที่สุดผู้บริหารจะรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรให้นานที่สุดได้อย่างไร

ข้อมูลจาก ภก.คงเกียรติ ฉัตรหิรัญทรัพย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บียอนด์ เทรนนิ่ง จำกัด (Beyond Training) เปิดเผยว่า อุปสรรคสำคัญที่อาจทำให้การเติบโตขององค์กรหยุดชะงัก เกิดจากปัญหาหลักๆ คือ พนักงานกลุ่มคนเก่ง(Talents) ลาออกมากส่งผลกระทบอย่างมากในการวางแผนงานอนาคต กลยุทธ์ และเป้าหมายใหญ่ที่องค์กรตั้งไว้ ซึ่งการพัฒนาและรักษา Talent จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องให้ความสำคัญดังนั้น บียอนด์ เทรนนิ่ง (Beyond Training) ในฐานะผู้ให้บริการด้านฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนาทักษะผู้นำยุคใหม่ ที่มีความโดดเด่นในการสร้างภาวะผู้นำให้พนักงานองค์กร แนะเทคนิคและแนวทางค้นหา พัฒนา และรักษากลุ่มคนเก่ง (Talent) ให้อยู่องค์กรยาวนาน ซึ่ง Talent ไม่ได้หมายถึงคนยุคใหม่หรือคนเก่งเทคโนโลยีดิจิทัล เท่านั้น 

หลายคน “เข้าใจผิด” เกี่ยวกับความหมายของ Talent หรือกลุ่มคนเก่งในองค์กร เพราะTalent คือ กลุ่มคนที่มีศักยภาพหรือชุดทักษะที่ตอบโจทย์กับ Competency ของธุรกิจแต่ละประเภท อย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกการทำงานยุคใหม่ สภาวะแวดล้อมจะผลักดันให้ทุกคนต้องเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล ฉะนั้น ทักษะดิจิทัลจึงกลายมาเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนต้องมีในโลกการทำงานยุคนี้ ทุกองค์กรสามารถเติบโตและไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้น แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นบันไดขั้นใหญ่ที่พาองค์กรก้าวไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้เร็วขึ้น คือ กลุ่มคนเก่ง (Talent) จึงเป็นเหตุผลที่องค์กรให้ความสำคัญกับการค้นหาหรือพัฒนา Talent ในเชิงทฤษฎีทุกคนสามารถเข้าสู่แผนพัฒนาได้ แต่ในเชิงปฏิบัติจะไม่ใช่ทุกคนที่จะกลายเป็น Talent ได้ ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่องค์กรต้องมีกระบวนการค้นหา พัฒนาและรักษา Talent ทุกๆ ปี 

ทั้งนี้ องค์กรจะเติบโตได้อย่างมั่นคงต้อง “สร้างสมดุลระหว่างการบริหารพนักงานทั่วไปกับกลุ่ม Talent” ให้ได้กลุ่มที่จะพัฒนาสู่ Talent ได้อาจจะมีเพียง 20-30% เท่านั้น จำเป็นต้องทุ่มงบประมาณเพื่อการพัฒนาไปที่กลุ่มนี้เป็นพิเศษขณะเดียวกันต้องสร้างสมดุลระหว่างการบริหารพนักงานทั่วไปกับกลุ่มคนเก่ง (Talent) ให้เติบโตไปพร้อมกันเป็นวิธีการที่ดี และสิ่งที่องค์กรต้องทำคือ วางโครงสร้างพัฒนาบุคลากรเป็นภาพใหญ่ที่ทุกคนมีโอกาสพัฒนาและมีเส้นทางการเติบโตในสายงานตนเองอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งต้องทำ Talent Managementไปพร้อมๆ กัน

Talent Management เริ่มตั้งแต่การเลือกกลุ่มคนเก่งในองค์กรรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Bell Shape หรือ Nine Box ในการประเมินผลงาน เป็นต้น ซึ่งการจะสร้างสมดุลในการบริหารบุคลากรทั้ง 2 กลุ่มนี้ให้สำเร็จ องค์กรต้องมีการสื่อสารภายในอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสื่อให้พนักงานทุกคนรู้สึกถึงความเท่าเทียม และมองว่าตนเองสำคัญมีคุณค่าและสร้างการเติบโตให้องค์กรได้เช่นกัน 

พร้อมกันนี้สำหรับการรักษากลุ่มคนเก่ง(Talent) ให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว ที่มีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์มากที่สุด คือ องค์กรต้องทำความเข้าใจกลุ่ม Talent โดยต้องเข้าใจถึงตัวตน ลักษณะนิสัย ความคาดหวัง หรือเป้าหมายสูงสุดในแต่ละช่วงชีวิต เช่น Talent บางคนต้องการผลตอบแทนที่เหมาะสม หรือบางคนต้องการแผนพัฒนาการเติบโตที่ชัดเจน เป็นต้น เมื่อองค์กรทำความเข้าใจ แบบลงลึกไปถึง Talent รายบุคคล และเข้าสู่กระบวนการคิดวิธีการที่จะทำอย่างไรให้เขามีความสุขและสนุกกับงานที่ทำ หัวหน้างาน
สถานที่ทำงาน 

การรักษา Talent ไว้ในองค์กรยุคดิจิทัลให้นาน คือ การกำหนดบทบาทความคาดหวัง และตัวชี้วัดที่ชัดเจนให้กับคนกลุ่มนี้ มีพื้นที่ให้แสดงความสามารถ เพราะลักษณะการทำงานของ Talent ในยุคนี้คือ การเห็นผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว เช่น การตั้ง OKR ที่ชัดเจน, การทำ Performance Review ร่วมกับหัวหน้างาน และสิ่งสำคัญคือ การมี Touch point ร่วมกันระหว่าง Talent กับผู้บริหารอยู่เสมอ ผู้บริหารองค์กรต้องคอยสื่อสารถึงทิศทางที่องค์กรกำลังจะเดินไปพร้อมสร้าง Engagement

นอกจากนี้ เคล็ดลับในการบริหาร Talent ยุคดิจิทัล สิ่งสำคัญที่จะทำให้แต่ละคนแสดงศักยภาพเร็วที่สุด คือ (1) การปรับรายได้ผลตอบแทนให้ไวขึ้นกว่าเดิมตาม Performance ที่ Talent แต่ละคนทำได้จริง (2) การจ่ายผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราปกติของตลาด (3) การจ่าย Retention Bonus ที่เป็นการจ่ายโบนัสล่วงหน้า ด้วยการจ่ายเงิน5-10% ให้พนักงานก่อนให้โบนัสด้านอายุงานโดยอยู่กับองค์กรตามเวลาที่กำหนด ซึ่งเหมาะกับกลุ่ม Senior Operation ซึ่งจะมีทั้งการจ่ายเงิน, การมอบหุ้นให้ หรืออื่นๆ และ (4) ในองค์กรยุคดิจิทัลจะต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการพัฒนา Talent มากขึ้นไม่ใช่แค่โปรแกรม Training แต่ต้องพัฒนาบริบทโดยรวม การวางสายอาชีพแบบองค์รวม  การสร้าง Creativity Space ให้ทดลองทำสิ่งใหม่ๆ เช่น การเป็น Project Owner เป็นต้น รวมถึงการทำ Employee Recognition องค์กรต้องชื่นชม รวมทั้งหาพี่เลี้ยง (Mentor) เพื่อให้คำแนะนำถึงกระบวนการทำงานที่ถูกต้อง รวมถึงดูแลเส้นทางการเติบโตของเขาตั้งแต่เริ่มแรก 

สำหรับ “Beyond Training เป็นหนึ่งในองค์กรด้านการฝึกอบรมช่วยพัฒนาพนักงานทั่วไป ก้าวสู่การเป็น Talent หรือคนเก่งในองค์ได้ รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญในด้านการสรรหา พัฒนา และรักษากลุ่มคนเก่ง (Talent) ไว้ในองค์กรได้เป็นอย่างดีสิ่งที่องค์กรยึดมั่นมาตลอดเพื่อรักษาคนดีคนเก่งไว้คือ องค์กรต้องสร้างความสุข และสังคมในที่ทำงานใช้เวลาร่วมกันให้มีความสุขมากที่สุด รวมถึงการสนับสนุนดูแลชีวิตความเป็นอยู่ และวางแผนการเติบโตให้กลุ่มคนเหล่านี้รู้สึกมีคุณค่าและสำคัญในองค์กร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่องค์กรยุคใหม่ต้องสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิด Engagement ระหว่างพนักงานและบริษัท เมื่อพนักงานผูกพันกับบริษัทปัญหา Turnover Rate อาจลดลง ปัญหาต่างๆทั้ง HR และหัวหน้างานก็จะหมดไป เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.Beyondtraining.in.th

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

LIFE & HEALTH : ดูแลตัวเองให้สุขภาพดี ผิวสวยรับซัมเมอร์

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/722153

LIFE & HEALTH :  ดูแลตัวเองให้สุขภาพดี ผิวสวยรับซัมเมอร์

LIFE & HEALTH : ดูแลตัวเองให้สุขภาพดี ผิวสวยรับซัมเมอร์

วันพุธ ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

สภาพอากาศในช่วงฤดูร้อนนี้อาจทำให้หลายคนเจ็บป่วยง่าย เพราะมีทั้งอากาศร้อน และฝุ่น PM2.5 เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักก็คือ การดูแลสุขภาพและผิวพรรณ เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นและฝุ่นละอองขนาดเล็กมักก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายทุกส่วน

ข้อมูลจาก แพทย์หญิงดวงกมล ทัศนพงศากุล แพทย์ประจำศูนย์ผิวหนัง โรงพยาบาลเวชธานีเปิดเผยว่า ในช่วงหน้าร้อน สิ่งที่ต้องระวังคือแสงแดด เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาผิวไหม้แดด ริ้วรอย ฝ้า กระ ตามมาได้เนื่องจากในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งจะไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดริ้วรอยต่างๆดังนั้น ควรทาครีมกันแดดทุกวัน และควรทาก่อนออกแดดอย่างน้อย30 นาที การทาครีมกันแดดที่ได้ผลดีควรทาให้เพียงพอ ไม่บางหรือหนาจนเกินไป ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB และต้องไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้มีความคงตัวสูง ไม่ว่าจะโดนน้ำ หรือเหงื่อก็จะไม่เหนียวเหนอะหนะ หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. นอกจากนี้ ในช่วงหน้าร้อนมักทำให้เกิดเหงื่อ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ อีก ได้แก่

l ผด มีลักษณะเป็นผื่นแดงเล็กกระจายสม่ำเสมอ หรือบางครั้งจะเป็นเม็ดใสๆ ในเด็กมักขึ้นรอบๆ คอ หน้าผาก
หน้าขา และรักแร้ ในผู้ใหญ่มักพบในบริเวณร่มผ้าที่มีการเสียดสี เช่น คอ หนังศีรษะ หน้าอก ลำตัว และข้อพับ แนะนำให้อยู่ในที่อากาศเย็น มีลมโกรก สวมใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย ในเวลาที่เหงื่อออกมาก ให้อาบน้ำหรือใช้ผ้าซุบน้ำเช็ด

l ผื่นผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา

-เกลื้อน จะมีลักษณะเป็นผื่นวงกลมหลายๆ วง มีขุยละเอียด สีต่างกัน เช่น สีจางหรือสีขาว แดง น้ำตาล หรือดำมักไม่มีอาการคัน พบมากในผู้เล่นกีฬาที่มีเหงื่อออกมาก อยู่ในที่ร้อนมากๆ สวมเสื้อผ้ารัดแน่น หรือเสื้อผ้าที่อับชื้น เนื่องจากการเกิดความอับชื้นทำให้เกิดการติดเชื้อราได้ง่าย

-กลาก จะมีลักษณะเป็นวงมีขอบเขตชัดเจน เป็นขุย เริ่มต้นด้วยอาการคันแล้วตามด้วยผื่นแดง ต่อมาจะลามเป็นวงออกไปเรื่อยๆ และมักจะคันมาก ส่วนใหญ่มักพบในบริเวณที่มีความอับชื้น ดังนั้น ต้องดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายให้ดี บางครั้งกลากอาจจะติดจากการใช้ของร่วมกับคนที่เป็นโรค หรือติดจากสัตว์เลี้ยงก็ได้

l ผื่นผิวหนังอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย-ในฤดูร้อนมีเหงื่อออกมาก ทำให้เกิดการมีกลิ่นตัวได้ง่าย โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความอับชื้น เช่น รักแร้และในร่มผ้า

-โรคเท้าเหม็น (Pitted Keratolysis) เป็นโรคที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังบริเวณชั้นนอกมีอาการเท้าแห้งลอก เท้าจะเหม็นมากกว่าคนทั่วไป มีหลุม รูพรุนเล็กๆบริเวณฝ่าเท้าและง่ามเท้า

l ผื่นผิวหนังอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Erythrasma) จะมีลักษณะเป็นผื่นแดงแห้งๆ ออกน้ำตาลมักพบบริเวณรักแร้ ขาหนีบ ซอกนิ้วเท้า

l ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)-มีโอกาสเกิดมากในช่วงฤดูร้อนเพราะมีเหงื่อเป็นตัวกระตุ้น จะมีลักษณะเป็นผื่นแดง แห้งลอก มีอาการคันมาก มักพบตามข้อพับแขน ข้อพับขา ใบหน้า แขน ขา ซอกคอ แนะนำควรหลีกเลี่ยงอากาศร้อนหรือมีฝุ่นละอองมาก เพราะอาจทำให้เกิดอาการคันมากขึ้น

l และผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน (Seborrheic dermatitis)-มีโอกาสเกิดได้เมื่อรับแสงแดดจัดหรือโดนความร้อนมากๆ จะมีลักษณะเป็นผื่นแดง มีสะเก็ดเป็นมัน ขอบเขตชัดเจน มักพบบริเวณร่องข้างจมูก หว่างคิ้ว หน้าหลังใบหู และหนังศีรษะ

นอกเหนือจากแสงแดดและความร้อนฝุ่น PM2.5 ก็เป็นปัจจัยที่สามารถทำลายผิวของเราได้ ดังนั้น จึงแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้

l ล้างทำความสะอาดผิว ขจัดสารอนุภาคละอองฝุ่นที่ตกค้างออกจากผิวหนัง

l ทาครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวเป็นการทำให้ชั้นผิวหนังมีความแข็งแรงมากขึ้น และ

l หลีกเลี่ยงการออกนอกอาคารโดยไม่จำเป็น หากมีความจำเป็นต้องออกนอกอาคาร ควรสวมหน้ากากที่มีคุณสมบัติป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ รวมทั้งเลือกสวมใส่เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นอกจากผิวพรรณที่ต้องดูแลแล้ว สุขภาพโดยรวมก็เป็นสิ่งสำคัญ ในสภาวะอากาศร้อนเช่นนี้ควรดูแลตัวเองคนรอบข้างอยู่เสมอ โดยมี 7 วิธี ในการรับมือหน้าร้อน ได้แก่

1.ดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ เพื่อลดทดแทนการสูญเสียน้ำจากเหงื่อ

2.หลีกเลี่ยงอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ และอาหารที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง

3.สวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ระบายความร้อนได้ดี

4.หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดร้อนจัดเป็นเวลานาน

5.หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอากาศร้อนอาจทำให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีกว่าปกติ

6.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดี

7.ควรดูแลเด็กและผู้สูงอายุเป็นพิเศษ

เทคนิคการดูแลผิวพรรณและสุขภาพ สามารถเริ่มต้นได้ที่ตัวเอง แต่หากปฏิบัติตามแล้วยังเกิดความผิดปกติกับร่างกาย ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างเหมาะสม

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

LIFE & HEALTH : รู้จักนวัตกรรมที่ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/712662

LIFE & HEALTH :  รู้จักนวัตกรรมที่ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

LIFE & HEALTH : รู้จักนวัตกรรมที่ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

วันพุธ ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566, 06.00 น.

นวัตกรรม คือ กระบวนการสร้างสิ่งใหม่หรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้ว สามารถอ้างถึงผลิตภัณฑ์ กระบวนการ บริการ เทคโนโลยี หรือแนวคิดใหม่ๆ รวมถึงการปรับองค์กรหรือการจัดการต่างๆ ให้ดีขึ้น โดยทั่วไปแล้ว นวัตกรรมคือการหาวิธีการใหม่ๆ ในการทำสิ่งต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อชีวิตของผู้คน ตัวอย่างของนวัตกรรม เช่น การพัฒนารถยนต์ อินเตอร์เนต และการรักษาทางการแพทย์ใหม่ๆ

ข้อมูลจาก ธนะชัย กุลสมบูรณ์สินธ์ นักกลยุทธ์นวัตกรรม เปิดเผยว่า จากการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรม (Global Innovation Index) ปี 2022 โดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO) พบว่า 5 อันดับแรกของประเทศนวัตกรรม คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา สวีเดน สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ ตามลำดับ สำหรับ ประเทศไทย อยู่อันดับ 43 นับเป็นอันดับ 3 ในประเทศอาเซียน รองจากสิงคโปร์ (อันดับ 7) และ มาเลเซีย (อันดับ 36) ทั้งนี้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการสร้างระบบนวัตกรรมของประเทศ ได้พบว่า ในปี 2566 นี้มีแนวโน้มนวัตกรรมที่ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ได้แก่

l ขาขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ด้านพลังงาน โดยเปลี่ยนจากการใช้พลังงานปิโตรเลียมเป็น “พลังงานหมุนเวียน” เช่น ระบบกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์แบบเข้มข้นการแปลงพลังงานจากแหล่งความร้อนใต้พิภพ พลังงานชีวภาพ พลังงานไฟฟ้า และพลังงานไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งเทคโนโลยีที่สำคัญต่อการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในอนาคตก็คือ “ระบบสำรองพลังงานประสิทธิภาพสูง” เช่น การสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบโครงข่ายพลังงาน เทคโนโลยีสำรองไฟฟ้าแบบวัสดุลิเทียมไอออนขั้นสูง ระบบแบตเตอรี่ทางเลือก เป็นต้น

l การฟื้นสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอากาศยาน แม้ว่าการเปิดประเทศภายหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่รูปแบบการเดินทางและท่องเที่ยวมีการปรับเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการจึงต้องพัฒนาการท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์ความยั่งยืนด้วยนวัตกรรม ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ตั้งแต่การพัฒนารูปแบบตลาดที่ลดการพึ่งพิง
นักท่องเที่ยวต่างชาติ การอำนวยความสะดวกและสร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การบริหารจัดการที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ การท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ชุมชน รวมถึงการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่อย่าง Workation หรือ Stacation ในด้านธุรกิจการบินก็ต้องนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยบริหารจัดการปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและทรัพยากรในห่วงโซ่ การให้บริการที่ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาและบริหารจัดการเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานอย่างมีประสิทธิภาพ

l ผู้เล่นใหม่จากวงการเทคโนโลยีเชิงลึก การพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญของโลก
โดยเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนยากต่อการเลียนแบบ จึงสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันบนฐานของทรัพย์สินทางปัญญา สามารถผลักดันธุรกิจให้ขยาย-สร้างตลาดใหม่ได้ในระดับนานาชาติได้ อีกทั้งยังได้รับความสนใจจากผู้ใช้หรือนักลงทุนทั้งในกลุ่มเกษตร อาหาร อวกาศ เทคโนโลยีเสมือนจริง เซ็นเซอร์ ฯลฯ ทั้งนี้ พบว่าการระดมทุนของธุรกิจดีพเทคเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2565 จาก 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 60 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวอย่างของนวัตกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ของ Apple วัคซีนโควิด-19 รถไฟฟ้า Tesla ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงพลังของดีพเทคที่อาจจะเป็นเคลื่นลูกที่ 4 ในการปฏิวัติอุตสาหกรรม

l การกลับมาผงาดอีกครั้งของญี่ปุ่นด้วยซอฟต์ พาวเวอร์ ตั้งแต่อดีตประเทศญี่ปุ่นมีความโด่ดเด่นในการใช้ซอฟต์ พาวเวอร์ มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งการเติบโตของอุตสาหกรรมและการสร้างการรับรู้ให้กับประเทศในเวทีสากล เช่น การนำซอฟต์ พาวเวอร์ มากระตุ้นและใช้งานผ่านกิจกรรมโอลิมปิก 2020 โดยนำจุดเด่นของ MAG culture (หนังสือการ์ตูน ; manga,
อะนิเมะ ; anime และ เกม ; games) และตัวละครอย่างมาริโอ้ โปเกมอน หรือโดราเอมอน มาใช้ประโยชน์ในการสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คน ส่วนประเทศไทย ภาครัฐ มีแนวทางการขับเคลื่อนซอฟต์ พาวเวอร์ ภายใต้กรอบ 5F ได้แก่ Food (อาหาร) Film (ภาพยนตร์และ วีดิทัศน์) Fashion (ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น) Fighting (ศิลปะการต่อสู้-มวยไทย) และงานเทศกาล (Festival) โดยนวัตกรรมที่คาดว่าจะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยขับเคลื่อน 5F คือ NFT (Non-fungible Token) โดยเฉพาะในตลาดนักสะสมของหายาก และเป็นช่องทางสำหรับศิลปินและผู้ผลิตผลงานศิลป์หน้าใหม่ ทำให้ระบบนิเวศของผลงานสร้างสรรค์ไทยเติบโตและผลักดันซอฟต์ พาวเวอร์ ไทยให้เข้มแข็ง

l ปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์เนื้อหาจากข้อมูล ดิจิทัลได้ปฏิวัติภูมิทัศน์สื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเข้าถึงผู้คน และเปิดทางให้กับ “คอนเทนต์ครีเอเตอร์” หลายล้านคนเข้ามาสร้างพื้นที่เศรษฐกิจสื่อรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Creator Economy” โดยเฉพาะผู้สร้างที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ปัจจุบันสามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่มนุษย์ได้ออกแบบ-สอนไว้ในการสร้างไอเดียและเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอนเทนท์ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนในระดับปัจเจกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่คิดเป็น 56.5% เมื่อเทียบกับการใช้งาน AI ในด้านอื่น นอกจากนี้ AI ยังมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงในมิติอื่น เช่น Virtual influencer ที่สามารถควบคุมและกำหนดทิศทางการสื่อสารได้ง่ายกว่าการใช้มนุษย์ มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บุคลิกภาพโดดเด่นดึงดูดสายตาไม่ต่างจากนางแบบที่เป็นมนุษย์จริง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการรักษาภาพลักษณ์และลดต้นทุนของแบรนด์ได้อีกด้วย

l เข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีอาหาร การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก พฤติกรรมการบริโภคที่เน้นอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารที่มีกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้เทคโนโลยีชีวภาพมีส่วนสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาทรัพยากรอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมถึงเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอาหาร ต่อยอดกระบวนการผลิตอาหารให้ตอบโจทย์การลดภาวะโลกร้อนไปพร้อมกับสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนต่อโลก เช่น เนื้อที่ทำจากพืชเนื้อสัตว์ที่เพาะในห้องแล็บ อาหารจากเครื่องปริ้นสามมิติ อาหารทางเลือกที่ปราศจากการปรุงแต่ง หรือผ่านการปรุงแต่งน้อย อาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อาหารที่อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยคาดว่า ตลาดอาหารแห่งอนาคตของโลกในปี 2568 จะมีมูลค่าถึง 0.31 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับปี 2563

l การลงทุนขนานใหญ่ในเทคโนโลยีความมั่นคง การพัฒนาเทคโนโลยีทางการทหารเป็นสิ่งที่หลายประเทศให้ความสำคัญเพื่อด้านความมั่นคงและทางเศรษฐกิจ เช่น การเตรียมความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์และความมั่นคงข่าวสารทำให้เกิดการลงทุนด้านนวัตกรรมทางการทหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย รัสเซีย และสหราชอาณาจักรที่มีการใช้จ่ายงบประมาณด้านนี้สูงสุด ส่วนนวัตกรรมที่มีความสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการบินเหนือเสียง หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ และอาวุธพลังงานสูง เมื่อมองถึงประเทศไทยรัฐบาลก็มีนโยบายผลักดันให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็น S-Curve ตัวที่ 11 โดยเน้นการส่งเสริมและวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีสองทางที่สามารถนำใช้งานได้ทั้งภารกิจด้านความมั่นคงและสำหรับภาคพลเรือนทั่วไปเชิงพาณิชย์ด้วย

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

Life & Health : รอบรู้ สู้ภัยมะเร็ง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/711020

Life & Health : รอบรู้ สู้ภัยมะเร็ง

Life & Health : รอบรู้ สู้ภัยมะเร็ง

วันพุธ ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566, 06.00 น.

โรคมะเร็งถือเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของโลกรวมทั้งประเทศไทย จากสถิติขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ. 2561 คาดการณ์ว่ามีจำนวนผู้ป่วยทั่วโลกที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งประมาณ 18 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มการเกิดโรคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 29 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีก 60%

ข้อมูลจาก นพ.สกานต์ บุนนาคผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำหรับประเทศไทยโรคมะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยมาตลอดช่วงเวลากว่า 20 ปี และยังพบผู้ป่วยรายใหม่ต่อปีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากข้อมูลสถิติโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่า แต่ละปีจะมีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ ประมาณ 140,000 คน หรือคิดเป็นประมาณ 400 คนต่อวัน และเสียชีวิตปีละประมาณ 80,000 คนต่อปี หรือกว่า 200 คนต่อวัน โดยโรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรกในคนไทย ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นที่น่ากังวลว่ามะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในขณะที่มะเร็งอื่นๆที่กล่าวมามีแนวโน้มค่อนข้างคงที่หรือลดลง

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ของทุกปีถือเป็น “วันมะเร็งโลก” หรือ World Cancer Day ซึ่ง ในปี 2565-2567 มีหัวข้อในการรณรงค์ คือ “Close the Care Gap : ปิดช่องว่างเพื่อการดูแลที่สมคุณค่า” และในปี พ.ศ. 2566 นี้มีประเด็นรณรงค์ คือ “Uniting our voices and taking action : ร่วมส่งพลังเสียงและลงมือทำ” มุ่งเน้นการร่วมกันหยุดการส่งต่อข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง (Fake Cancer News) และให้กำลังใจกับผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้โดยเร็ว

ปัจจัยที่ทำให้โรคมะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยและยังพบผู้ป่วยรายใหม่ต่อปีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแม้ว่าประเทศเราจะมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยมากขึ้นและประชาชนมีสิทธิประโยชน์ในการคัดกรองและรักษาโรคมะเร็งได้ในทุกสิทธิก็ตาม เป็นเพราะสังคมไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างรวดเร็ว ปัญหาด้านมลภาวะและพฤติกรรมของประชาชนที่เปลี่ยนไปพร้อมความเจริญของสังคมเมือง เช่นการชอบรับประทานอาหารแปรรูปมากขึ้น การชอบรับประทานอาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม การกินผักผลไม้ลดลง การรับประทานอาหารมันๆ และปัญหาของผู้คนที่มีภาวะอ้วนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการดื่มสุราและสูบบุหรี่ที่ถึงแม้จะมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ส่วนอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง ได้แก่การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบแบบเรื้อรัง การติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับจากการกินปลาดิบ การตากแดดจัดเป็นประจำโดยไม่ป้องกัน การใช้ยาฮอร์โมนเอสโตรเจนต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายปีและจากพันธุกรรม เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น พันธุกรรมมีส่วนเพียง 5-10% และปัจจัยภายนอกมีส่วนประมาณ 90-95% ได้แก่ พฤติกรรมการดำเนินชีวิตและสิ่งแวดล้อม

เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่ามะเร็งบางชนิดสามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ระยะก่อนเป็นมะเร็งหรือเป็นมะเร็งเริ่มแรก เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ถ้าตรวจพบในระยะเริ่มแรกจะมีโอกาสรักษาให้หายขาดสูง องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำให้มีการตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะเริ่มแรกถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการใดๆ การคัดกรองมะเร็งชนิดต่างๆอย่างเหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามเพศและอายุซึ่งสามารถปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับรายละเอียดการคัดกรองนี้ หรือสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ website สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ https://nci.go.th ในส่วนของ “ความรอบรู้สู้ภัยมะเร็ง”

หากวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งแล้วปัจจุบันทุกสิทธิการรักษาสามารถเข้าถึงบริการการรักษามาตรฐานของมะเร็งได้ฟรี ได้แก่ การผ่าตัด การใช้ยา และ รังสีรักษา ซึ่งปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก เช่น การผ่าตัดแผลเล็ก การผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ สามารถใช้ได้กับมะเร็งหลายชนิดโดยเฉพาะถ้าเจอในระยะแรก การใช้รังสีรักษาในปัจจุบัน การวางแผนประกอบกับเครื่องฉายรังสีที่ทันสมัยทำให้รังสีพุ่งตรงไปที่ก้อนมะเร็งได้แม่นยำขึ้นกระทบเนื้อเยื่อปกติรอบๆ น้อยลง ส่งผลให้ผลข้างเคียงจากการฉายรังสีและจำนวนครั้งที่ฉายลดลงมาก ส่วนการรักษาด้วยยา นอกจากยาเคมีบำบัดแล้วยังมีการนำยาพุ่งเป้า (targeted therapy) และยาปรับภูมิคุ้มกัน (immunotherapy) มาร่วมรักษาทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแต่ผลข้างเคียงจากยาลดลง ถึงแม้จะเกิดผลข้างเคียงก็มียาใหม่ๆรวมทั้งการใช้กัญชาทางการแพทย์มาที่ช่วยลดผลข้างเคียงได้ดีกว่าในอดีตมาก ดังนั้น เราจึงไม่ควรเลี่ยงการตรวจสุขภาพเพื่อคัดกรองโรคมะเร็ง และเมื่อตรวจพบก็ไม่ควรกลัวที่จะเข้ารับการรักษาเพราะการตรวจพบในระยะแรก การรักษามักจะไม่ยุ่งยากซับซ้อน ผลข้างเคียงจากตัวโรคและการรักษาน้อย และโอกาสหายขาดสูง

ในปัจจุบันเป็นยุคที่มีการใช้ social mediaอย่างกว้างขวางมีการแชร์ข้อมูลเท็จด้านโรคมะเร็ง (Fake Cancer News) กันอย่างมากมายทั้งจากผู้ที่ตั้งใจเพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง และ ไม่ตั้งใจคือเจตนาดีแต่ไม่รู้ว่าเป็นข้อมูลเท็จทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับข้อมูลเท็จไป ตัดสินใจผิด และ ได้รับการรักษาที่เหมาะสมล่าช้า ขาดโอกาสที่จะหายขาด หรืออาจซ้ำเติมโรคมะเร็งให้รุนแรงมากขึ้น ที่ผ่านมา แม้จะมีการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เพื่อตรวจสอบและให้ข้อมูลข้อเท็จจริง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีข่าวด้านโรคมะเร็งที่สงสัยว่าอาจจะเป็นข่าวปลอมทั้งจากที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมส่งมาให้ช่วยหาข้อมูล และ ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติสืบค้นตรวจจับกว่า 600 เรื่อง ส่วนมากจะเป็นข่าวที่ไม่มีข้อมูลทางวิชาการหรืองานวิจัยทางการแพทย์รองรับ มักเป็นการคิดเอาตามสมมุติฐานของตนเองโดยไม่มีการพิสูจน์ หรือ เป็นการอ้างต่อๆกันมาแบบไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือรองรับ โดยมีผลกระทบอย่างมากทั้งกับคนที่ยังไม่ป่วยและคนที่ป่วยเป็นมะเร็งแล้ว คนที่ยังไม่ป่วยมักสนใจข่าวที่ว่ากินหรือใช้ผลิตภัณฑ์อะไรแล้วสามารถป้องกันมะเร็งได้ ซึ่งอาจมีความจริงบางส่วน เช่น การกินน้ำผักผลไม้ปั่นช่วยป้องกันมะเร็ง แต่บางครั้งผู้ให้หรือผู้รับสารอาจให้น้ำหนักมากเกินไปจนคิดว่าไม่ต้องปรับเปลี่ยนลดพฤติกรรมเสี่ยงเช่นยังคงกินเหล้า ยังคงสูบบุหรี่ เพราะคิดว่าน้ำผลไม้ปั่นป้องกันมะเร็งได้ 100% หรือในทางกลับกันเชื่อว่าสิ่งโน้นสิ่งนี้เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งจนไม่กล้าใช้หรือรับประทานสิ่งนั้นโดยไม่จำเป็น จนกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น กลัวว่าการใช้ roll on ต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้เป็นมะเร็งเต้านมซึ่งเป็นข้อมูลเท็จ ส่วนผู้ป่วยโรคมะเร็งมักจะสนใจว่าสิ่งใดจะทำให้หายขาดจากโรคมะเร็งได้ด้วยวิธีง่ายๆ จนทิ้งการรักษาตามมาตรฐานไป ทำให้เสียโอกาสที่จะรักษาโรคให้หายขาด หรือการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานนั้นอาจซ้ำเติมอาการของโรคมะเร็งให้หนักขึ้นรุนแรงขึ้นจนอาจเสียชีวิตได้เช่น การทำ Ice Bathing เป็นต้น

เพื่อหยุดยั้งการแชร์ข้อมูลเท็จต่างๆ ด้านโรคมะเร็ง ท่านสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ทาง website สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ https://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ และ Facebook สถาบันมะเร็งแห่งชาติ Facebook : Thai Cancer News

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ