ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/338395

แหวกฟ้าหาฝัน : Lublin Castle
Lublin Castle front
ไม่เพียงนักท่องเที่ยวที่มาเมือง Lublin จะสามารถเยี่ยมเยือน Open Air Museum แล้ว เมืองนี้ยังมี Castle หรือปราสาทให้เยี่ยมเยือนด้วย ประสาทของท่านดุ๊ก Casimir ที่สองนี้เป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโปแลนด์ ปราสาทที่ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 บนเขานี้ ดั้งเดิมนั้นส่วนของปราสาทสร้างจากไม้ แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เจ้าของได้ปรับปรุงโดยใช้หินมาก่อสร้างโดยส่วนต่อเติมที่สร้างด้วยศิลปะแบบ Romanesque ที่สูงที่สุดซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 14 Casimir the Great ได้สร้างอาคารและกำแพงหินล้อมรอบตัวตึก รวมทั้งได้เพิ่มส่วนของโบสถ์สไตล์โกธิคที่มี Chapel of the HolyTrinity ขึ้นด้วยเพื่อไว้สวดมนต์ การตกแต่งภายในหอสวดมนต์ด้วยภาพปูนเปียกโดยRuthenian Master Anderj ซึ่งมีเอกลักษณ์พิเศษที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันตกและออกโธดอกซ์ที่ไม่เหมือนใครเกิดขึ้นในทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยคำบัญชาของพระเจ้า Wladyslaw ที่สองภาพเขียนนี้ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันเช่นกัน
ในช่วงราชวงศ์ Jagiellon ปราสาทแห่งนี้รุ่งเรืองมาก และเป็นที่พำนักสำคัญของราชวงศ์ตลอดมาจึงได้มีการต่อเติมขยายออกไปอีกโดยนำเข้าศิลปินจากเมือง Krakow มาปรับปรุง ยิ่งกว่านั้นที่นี่ยังเคยเป็นสถานที่เซ็นสัญญา Union of Lublin และสัญญาการก่อตั้งPolish-Lithuanian Commonwealth ด้วยหลังสงครามในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ส่วนของปราสาทได้ถูกทำลายลงคงเหลือแต่ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดนั่นคือ หอสวดมนต์ที่รอดพ้นจากสงครามมาได้ หลังจาก Lublin ตกอยู่ในกำมือของรัสเซียและการแบ่งแยกดินแดนภายใต้เงื่อนไข Congress of Vienna ในปี 1815 รัฐบาลกลางโปแลนด์โดย Stanislaw Staszic จึงมีดำริให้ Stanislaw Stompfปรับปรุงปราสาทขึ้นใหม่ระหว่างปี 1826-28 โดยสถาปนิกได้เลือกแนวทางศิลปะแบบ EnglishNeogothic ซึ่งแตกต่างจากอาคารเดิมอย่างคนละขั้ว ทั้งนี้เพราะรัฐบาลต้องการให้ที่นี่ใช้เป็นคุกแทนที่จะเป็นปราสาทหรือที่ทำการรัฐ อย่างไรก็ดีรัฐบาลยังคงบัญชาให้สถาปนิกเก็บรักษาส่วนของหอสวดมนต์ไว้
นับจากการปรับปรุงครั้งนั้นปราสาทก็ใช้เป็นคุกอยู่นานถึง 128 ปี จวบจนกระทั่งปี 1954 โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างปี 1939-44 นั้น ปราสาทคุมขังนักโทษชาวโปลและยิวมากถึง 8 หมื่นคน ก่อนสงครามโลกสิ้นสุดลง กองทัพนาซีก็จัดการสังหารหมู่ผู้ต่อต้านเยอรมันชาวโปลทั้งหมด รวมทั้งชาวยิวจนเหลือนักโทษเพียงแค่ 300 คนเท่านั้น หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง รัสเซียซึ่งกำลังมีอิทธิพลต่อรัฐบาลและรัฐบาลโปลก็ยังคงใช้สถานที่แห่งนี้เป็นคุกต่อไปอีกนับสิบปีโดยคุมขังนักโทษที่ต่อต้านรัสเซียมากถึง 35,000 คนและในครั้งนั้นรัฐบาลได้สังหารผู้ต่อต้านหัวรุนแรงที่อยู่ในคุกนี้ไปถึง 333 คน หลังปี 1954รัฐบาลได้ยกเลิกการใช้ปราสาทแห่งนี้เป็นคุกและทำการปรับปรุงทัศนียภาพใหม่ และในปี 1957 ก็จัดตั้ง Lublin Museum ขึ้นแทน