ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/364283

ตะลอนเที่ยว : ความเขียวขจีบนผืนดินที่เคยไร้ความอุดมสมบูรณ์
“ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงอยู่ในหัวใจของพวกเราตลอดเวลา” คำพูดนี้ออกมาจากปากของชาวบ้าน โคกสยา ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ผู้สามารถพลิกชีวิตจากความอดอยาก ให้กลับกลายมาเป็นเกษตรกรผู้ประสบผลสำเร็จในการเพาะปลูก อันเป็นผลมาจากความรู้ที่ได้รับจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส
แต่เดิมก่อนปี พ.ศ. 2524 ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำริให้ก่อตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองนั้น พื้นที่ในหมู่บ้านโคกสยา และบริเวณรอบๆมีสภาพเป็นที่ดินเสื่อมโทรม เพาะปลูกพืชพันธุ์ทางการเกษตรไม่ได้ เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่มต่ำมีน้ำขังตลอดปี เรียกว่าดินพรุ ดินชนิดนี้คุณภาพต่ำ ไม่มีสารอาหารสำหรับพืช จึงใช้เพาะปลูกไม่ได้ ตามหลักวิชาการเรียกดินชนิดนี้ว่าดินมีกรดกำมะถัน เป็นดินเปรี้ยว ดังนั้นที่ดินจึงถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
.jpg)
ในปี 2524 ในหลวง รัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำริให้ตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ ที่ดินระหว่างหมู่บ้านพิกุลทองกับหมู่บ้านโคกสยา โดยศูนย์แห่งนี้เป็นที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านโดยเป็นการรวมตัวกันของนักวิชาการด้านการเกษตร ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านส่งเสริมการศึกษา โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการวิจัยปรับปรุงดินพรุให้สามารถใช้เพื่อการเกษตรได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาทดลองด้านการพัฒนาการอุตสาหกรรมในครอบครัวแบบครบวงจร ด้านยางพาราและปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง ดำเนินกิจการในบนดิน 261,860 ไร่มีกิจกรรมดังต่อไปนี้ พัฒนาดินอินทรีย์และดินเปรี้ยวจัด พัฒนาการปลูกพืชแบบที่ปลูกร่วมกับยางพารา เช่น ระกำ และไม้ดอก ทำโครงการเกษตรยั่งยืนตามแนวทางทฤษฎีใหม่ ปลูกไม้ดอกเมืองหนาว ฝึกอบรมและส่งเสริมงานด้านศิลปาชีพพิเศษ
.jpg)
เมื่อศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง ได้ศึกษา วิจัย และทดลองจนสามารถแก้ปัญหาดินเปรี้ยวจัดได้แล้ว จึงได้เผยแพร่ความรู้ให้กับชาวบ้าน และยังเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมอาชีพให้ชาวบ้านอีกด้วย
จากสภาพเดิมซึ่งพื้นที่จำนวนมากของจังหวัดนราธิวาสไม่สามารถใช้ทำการเกษตรได้ แต่เมื่อโครงการพระราชดำรินี้ได้เข้าไปแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้าน ปัจจุบันผืนดินก็ได้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เขียวขจี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว พืชสวนไร่นาเจริญเติบโต ชาวบ้านมีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ ดำรงชีวิตอย่างมีความสุข
.jpg)
Mr. Flower ได้นำคณะผู้อ่านหนังสือพิมพ์แนวหน้ากลุ่มหนึ่งลงไปชมศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง เมื่อวันที่9 กันยายน 2561 โดยได้รับความอนุเคราะห์อย่างดียิ่งในการนำชมโดยเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ (และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดนราธิวาส และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ประจำจังหวัดยะลาและจังหวัดนราธิวาส ที่กรุณาอำนวยความสะดวกให้คณะของเรา)
การไปชมครั้งนี้ทำให้ทราบว่าโครงการแกล้งดินคืออะไร และยังได้ทราบอีกว่ามีข้าวสายพันธุ์ใดบ้างที่สามารถปลูกในดินเปรี้ยวได้ เช่น พันธุ์เขียวดอนทรายขาวช่อจำปา เป็นต้น และได้ทราบว่าปาล์มน้ำมันและต้นเสม็ดขาว สามารถปลูกในดินพรุได้ดี และได้เห็นการปลูกระกำหวานแทรกระหว่างแถวของยางพารา ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอย่างน่าพอใจ เพราะมีรายได้จากระกำหวานปีละประมาณ 6 พันบาทต่อไร่ และยังได้พบว่าดินพรุสามารถใช้ปลูกต้นสาคู และมะพร้าวพันธุ์เตี้ยสำหรับตัดยอดอ่อนไปใช้ปรุงอาหารได้อีกด้วย
.jpg)
ขอบอกตรงๆ ว่า ไม่ว่าจะบรรยายหรือนำภาพของศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง มาให้คุณชมมากมายสักเพียงใดก็คงจะไม่ได้อรรถรสมากเท่ากับการที่คุณไปชมศูนย์ฯ แห่งนี้ด้วยสายตาของคุณเอง
ขอเรียนเชิญคุณไปเยี่ยมชมศูนย์ฯ แห่งนี้ด้วยกันกับ Mr. Flower ซึ่งเราจะไปเที่ยวชมความงดงามของจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ด้วยกันอีกครั้งในช่วงกลางเดือนตุลาคมปีนี้ สำหรับคุณที่สนใจร่วมทริปเล็กๆ และอบอุ่นไปด้วยกัน โปรดติดต่อโทรศัพท์หมายเลข091-7233615
