เรียนรู้หัตถศิลป์ไทย ปลูกฝังรักสามัคคี และร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาของประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/401065

เรียนรู้หัตถศิลป์ไทย ปลูกฝังรักสามัคคี  และร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาของประเทศ

เรียนรู้หัตถศิลป์ไทย ปลูกฝังรักสามัคคี และร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาของประเทศ

วันพุธ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2562, 06.00 น.

ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT จัดงาน งาน “1 ทศวรรษ อัตลักษณ์แห่งสยาม” ซึ่งจัดมาอย่างต่อเนื่อง ครบรอบ 10 ปี โดยในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “หัตถศิลป์ล้ำค่า รักษาไว้ให้ลูกหลาน : The Artisanal Collectibles” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงชิ้นงานศิลปหัตถกรรมล้ำค่า ผ่านองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นของบรรพบุรุษมายาวนาน ผ่านรุ่นสู่รุ่นมายังครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม และทายาทช่างศิลปหัตถกรรม ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในสกุลงานช่างชั้นสูงหลากหลายแขนง แต่ละท่านล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์และฝีมือเชิงช่างที่หาได้ยาก และพร้อมส่งต่อไปยังเยาวชนคนรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจในงานศิลปหัตถกรรมไทย

อัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ กล่าวว่า SACICT มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน และยกระดับเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของงานศิลปหัตถกรรมของไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ เป็นศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านหัตถศิลป์ของประเทศไทย ต่อยอดภูมิปัญญาให้เป็นที่นิยมใช้อย่างกว้างขวาง งานนี้ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจร่วมงานและอุดหนุนสินค้างานหัตถศิลป์ไทยอันทรงคุณค่าจากฝีมือชั้นครูจำนวนมาก ช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ แบ่งปันโอกาสแก่ชุมชนท้องถิ่นและชาวบ้านในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ภายในงานยังเป็นแหล่งเรียนรู้และรวบรวมองค์ความรู้ด้านศิลปหัตถกรรม มีประชาชนผู้ที่สนใจงานหัตถศิลป์ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนและสถาบันการศึกษาต่างๆ เข้ามาศึกษาข้อมูลเป็นโอกาสดีที่ได้เรียนรู้และสัมผัสกับประสบการณ์ตรงนอกห้องเรียนจากครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม และทายาทช่างศิลปหัตถกรรม อันจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่สามารถต่อยอดและพัฒนางานศิลปหัตถกรรมได้ในอนาคต รวมทั้งได้ร่วมปลูกฝังให้เกิดความรักความสามัคคีกับคนในชาติ เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

สาวิณี ชูรัศมี นักศึกษาจากเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่างกล่าวว่า “มากับเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่ งานนี้ได้รวบรวมบุคลากรงานฝีมือเชิงช่างของไทยไว้มากที่สุด ทั้งครูช่างศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม และทายาทช่างศิลหัตถกรรม จึงเป็นโอกาสดีที่เยาวชนคนรุ่นใหม่จะได้เข้ามาพูดคุย ศึกษาและเรียนรู้เรื่องงานช่าง โดยเฉพาะงานที่มีค่า ทำยาก ต้องใช้ความชำนาญอย่างมากเช่น พวกงานโลหะ สลักดุน งานถมต่างๆอยากมาเรียนรู้เรื่องงานดีไซน์ งานอาร์ตที่นำมาประยุกต์ในชิ้นงาน และมาพูดคุยกับครู เกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับตนเอง ซึ่งบรรดาครูและทายาทต่างให้ความเป็นกันเอง ตอบข้อซักถาม บางท่านก็ให้ได้ทดลองทำเองจริงๆ สนุกสนานและได้ความรู้มากเลยค่ะ” ด้าน น้องไอซ์-บัณฑิตา พลการ พร้อมเพื่อนๆ เยาวชนจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง เล่าว่า “ดีใจมากๆ ที่ได้พบกับครูดังๆ หลายท่าน ได้ถ่ายทอดความรู้ แนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างเป็นกันเอง โดยเฉพาะครูพิรุณ เล่าประวัติที่มาของหุ่นกระบอกไทย ได้รู้ว่าหุ่นกระบอกมีความเป็นมาผูกพันกับวิถีไทยตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงในรั้วในวัง ได้รู้ถึงวิธีการทำตัวหุ่น เสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ และการประกอบ ยิ่งได้รู้ว่าบรรพบุรุษเรามีฝีมือมากขนาดนี้ ก็ยิ่งภูมิใจ ชื่นใจในความเป็นไทย เป็นโอกาสดีที่ได้ลองเชิดหุ่นอีกด้วย ครูชมว่ามีแววยิ่งอยากศึกษาลึกซึ้ง วันนี้จึงสนุกสนานและได้ความรู้กลับไปมากมาย และตั้งใจจะนำเรื่องราวด้านศิลปหัตถกรรมไทยไปบอกต่อเพื่อนๆ และอาจารย์ได้รับรู้ด้วยค่ะ” ปิดท้ายที่แฟนพันธุ์แท้รุ่นจิ๋ว ด.ญ.เบญจ์สิริ โกษีอำนวย หรือ น้องอินดี้ อายุ 4 ขวบ จากโรงเรียนอนุบาลบ้านสานฝัน มากับคุณแม่เบญจมาศ เล่าว่า “ที่โรงเรียนน้องสอนเรื่องการแต่งกายในภาคต่างๆ ของไทยเลยพาน้องมาชมงาน มาเรียนรู้เรื่องผ้า และงานศิลปหัตถกรรมไทยอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก เพื่อให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ความเป็นไทยของเรา เพราะเด็กรุ่นใหม่จะเป็นกำลังสำคัญในการสืบสานและส่งต่อในอนาคตค่ะ” ส่วนน้องอินดี้เล่าทิ้งท้ายว่าวันนี้สนุกมาก ได้เห็นผ้าสวยๆ และของสวยๆ เต็มไปหมด และหนูก็ชอบแต่งชุดไทยมากค่ะ”

การอนุรักษ์และร่วมสืบสานงานศิลปหัตถกรรมให้คงอยู่คู่กับประเทศไทยนั้น นอกจากการยกระดับวงการศิลปหัตถกรรม เชิดชูครูและทายาท พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้คนในยุคปัจจุบันแล้ว สิ่งสำคัญคือการที่คนรุ่นใหม่ใฝ่เรียนรู้และใส่ใจทักษะเชิงช่างเพื่อนำมาต่อยอดโดยยังคงรักษารากของความเป็นอัตลักษณ์แห่งความเป็นไทยไว้ โดยเฉพาะการเห็นถึงคุณค่าในความเป็นมา และร่วมสนับสนุนด้วยการนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน เพื่อมิให้วิถีและรากเหง้าของไทยต้องสูญหาย

Leave a comment