ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/local/421940
x
ส.ป.ก.เร่งขับเคลื่อนวิสาหกิจแปลงใหญ่ นำร่องเขตปฏิรูปที่ดินสุราษฎร์-โคราช
ส.ป.ก. เผยความคืบหน้าการดำเนินงาน Mega Farm Enterprise เน้นใช้ 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การทำแผนแม่บทชุมชน การพัฒนาอาชีพ และการเชื่องโยงตลาด พัฒนาเกษตรกรใน 2 พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการไปสู่เป้าหมายภายใต้นโยบายตลาดนำการผลิตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หวังให้ทั้ง 2 พื้นที่ดังกล่าวเป็นโมเดลนำไปสู่การส่งเสริมและพัฒนาด้านการจัดสรรที่ดินทำกินให้เกษตรกรในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)เปิดเผยว่า ส.ป.ก. ได้เร่งการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการบริหารจัดการวิสาหกิจแปลงใหญ่หรือ Mega Farm Enterprise ซึ่งเป็นอีกโครงการที่เชื่อมโยงนโยบายการจัดทำแผนการผลิตภาคการเกษตร (Agricultural Production Plan) ภายใต้แนวทาง “การตลาดนำการผลิต” และ “โครงการเกษตรแปลงใหญ่” (Mega Farm) เข้าด้วยกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบเกษตรกรรมของประเทศไทยตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตจนกระทั่งมีผลผลิตจำหน่ายออกสู่ตลาดให้มีศักยภาพก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ภายใต้การบูรณาการระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการเข้าไปมีส่วนร่วมกับกลุ่มเกษตรกรในการบริหารจัดการเกษตรแปลงใหญ่ให้มีประสิทธิภาพ
สำหรับพื้นที่ ส.ป.ก. ที่เข้าร่วมโครงการนี้มีด้วยกัน 2 แห่งคือ 1.โครงการจัดที่ดินทำกินชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ในเขตปฏิรูปที่ดิน ตำบลไทรทอง อำเภอชัยบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ 972 ไร่ ซึ่ง ส.ป.ก. จัดที่ดินเป็นแปลงที่อยู่อาศัยและแปลงเกษตรกรรมให้เกษตรกรจำนวน 114 ราย เนื้อที่ 726 ไร่ (ที่อยู่อาศัยรายละ 1 ไร่ แปลงเกษตรกรรมรายละ 5 ไร่) และแปลงเกษตรกรรมรวมเนื้อที่ 60 ไร่ 2.โครงการจัดที่ดินทำกินชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ในเขตปฏิรูปที่ดิน บ้านเหนือ ตำบลปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 1,021 ไร่ ซึ่ง ส.ป.ก. ได้จัดที่ดินเป็นแปลงที่อยู่อาศัยและแปลงเกษตรกรรมให้เกษตรกรจำนวน 85 รายเนื้อที่ 510 ไร่ (ที่อยู่อาศัยรายละ 1 ไร่ แปลงเกษตรกรรมรายละ 5 ไร่) และแปลงเกษตรกรรมรวมเนื้อที่ 30 ไร่ ซึ่งทั้ง 2 พื้นที่จะใช้แผนการดำเนินงาน 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การทำแผนแม่บทชุมชน การพัฒนาอาชีพ และการเชื่องโยงตลาด
“โครงการดังกล่าวนอกจากจะเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตทางการเกษตร จากเดิมที่เกษตรกรผลิตตามความคุ้นชินไปเป็นการผลิตที่มีการวางแผนเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของตลาดและผู้บริโภคแล้ว ยังเปลี่ยนรูปแบบการผลิตจากต่างคนต่างผลิตเป็นการผลิตแบบกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการซื้อขายผลผลิตและปัจจัยการผลิต ซึ่งคาดว่าเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน” เลขาธิการส.ป.ก.กล่าว