ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/local/436769

รายงานพิเศษ : ดับไฟ‘พรุควนเคร็ง’ น้ำมาจากไหน?
“พรุควนเคร็ง” เป็นป่าพรุขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ มีพื้นที่ 86,942 ไร่ ครอบคลุม อ.เชียรใหญ่ อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.ร่อนพิบูลย์ อ.ชะอวด อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช และอ.ควนขนุน จ.พัทลุง
แต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา เกิดไฟป่าไหม้ลุกลาม พรุควนเคร็งรุนแรงอีกครั้ง หลังจากเกิดขึ้นมาแล้วกว่า 80 ครั้งในปีนี้ มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ ทั้งเป็นพื้นที่ป่าและพื้นที่การเกษตร เสียหายรวมกันมากกว่า 15,000 ไร่ ประชาชนและเกษตรกรเดือดร้อน ระบบนิเวศป่าพรุและความหลากหลายทางชีวภาพเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง หน่วยงานทั้งภาครัฐหลายหน่วยงานบูรณาการช่วยกันดับไฟครั้งนี้ กรมชลประทานถือว่าเป็นหน่วยงานหลักอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญทำหน้าที่จัดหาแหล่งน้ำมาใช้ดับไฟ
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า แหล่งน้ำที่สูบเติมน้ำเข้าพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งประกอบด้วย คลองชะอวด (แม่น้ำปากพนัง)และคลองชะอวด-แพรกเมือง (คลองพระราชดำริ) เพื่อส่งน้ำเข้าพื้นที่ต.การะเกด ต.แม่เจ้าอยู่หัว ต.เนินธัมมัง อ.เชียรใหญ่ ต.เคร็ง ต.บ้านตูล อ.ชะอวด ต.สวนหลวง อ.เฉลิมพระเกียรติและต.ควนชะลิก อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช รวม 4 อำเภอ นอกจากนี้ ยังดำเนินการจะปิดทำนบบริเวณปากคลองซอย คลองธรรมชาติ และคลองที่ขุดโดยกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืชที่เชื่อมต่อคลองชะอวดและคลองชะอวด-แพรกเมืองแล้ว ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่สูบน้ำเข้าพื้นที่ เพื่อดับไฟป่า ใช้เครื่องสูบน้ำ 1-5 เครื่องต่อหนึ่งคลองซอย จากนั้นเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าและทหารจะใช้เครื่องสูบน้ำขนาดเล็กชนิดแบกหามพร้อมท่อส่งสูบน้ำไปดับไฟป่าในบริเวณที่มีน้ำใกล้ที่สุด
“กรมชลประทานตั้งเครื่องสูบน้ำไว้ 26 จุด 46 เครื่อง สูบน้ำส่งเข้าพื้นที่วันละ 608,400 ลูกบาศก์เมตร รวมปริมาณน้ำตั้งแต่วันที่ 1-21 สิงหาคม 2562 สูบน้ำได้ 12,731,010 ลูกบาศก์เมตร” อธิบดีกรมชลประทานกล่าวย้ำ
อย่างไรก็ตาม การกระจายน้ำจากเครื่องสูบน้ำส่งเข้าคลองซอย จะกระจายน้ำเข้าพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากคลองซอยมีน้อย บางสายสั้นเข้าไม่ถึงพื้นที่ตอนกลางของป่าพรุควนเคร็ง สามารถกระจายในพื้นที่ป่าพรุเพียงร้อยละ 30 ของพื้นที่ป่าพรุเท่านั้น
เมื่อวันที่ 9-10 สิงหาคม พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรีเป็นผู้แทนพระองค์ เดินทางไปศูนย์บัญชาการควบคุมไฟป่า จ.นครศรีธรรมราช ให้กรมชลประทานพิจารณานำน้ำจากทะเลน้อยเข้ามาใช้ดับไฟป่าพรุควนเคร็งบริเวณรอยต่อ จ.นครศรีธรรมราช-จ.พัทลุง ซึ่งเป็นป่าเสม็ดผืนใหญ่
แต่จากการพิจารณาเห็นว่า คลองบางตะเคร็ง ซึ่งเชื่อมต่อระหว่าง ต.เคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช กับทะเลน้อย จ.พัทลุง ห่างกันประมาณ 16.00 กม. บริเวณบ้านทะเลน้อยมีคลองสาขากระจายอยู่มาก มีการทำการเกษตรโดยรอบ พื้นที่ราบทำนาข้าวและอยู่ในระยะข้าวตั้งท้อง หากจะนำน้ำจากทะเลน้อยไปดับไฟป่าต้องปิดคลองสาขาจำนวนมาก เมื่อสูบน้ำไปใช้จะกระทบการใช้น้ำภาคเกษตรบริเวณรอบทะเลน้อย ประกอบกับทะเลสาบสงขลาน้ำเริ่มเค็มจะมีผลกับคุณภาพน้ำทะเลน้อยที่จะนำมาใช้ จึงปิดทำนบดินในคลองบางตะเคร็ง ช่วงรอยต่อนครศรีธรรมราช-พัทลุง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำส่งเข้าพื้นที่ ต.เคร็ง อ.ชะอวด เพื่อเติมน้ำให้คลองซอยในพื้นที่ ใช้สูบกระจายลงพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งและไม่ให้มีผลกระทบกับพื้นที่การเกษตรบริเวณทะเลน้อย เป็นการเติมน้ำให้ป่าพรุอีกเส้นทางหนึ่ง
ด้านนายยรรยง โกศลกาญจน์ ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาปากพนังบน กรมชลประทาน กล่าวว่า การสูบน้ำเข้าพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากฝนทิ้งช่วงนานและปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่น้อย ปริมาณน้ำที่เติมลงพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังน้อยมาก ปัจจุบันระดับน้ำที่ประตูระบายน้ำคลองชะอวด – แพรกเมือง อยู่ที่ระดับ-1.720 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) และระดับน้ำที่ประตูอุทกวิภาชประสิทธิ์ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช อยู่ที่ระดับ – 1.580 ม.รทก. ซึ่งต่ำกว่าระดับเฝ้าระวังที่ระดับ – 1.500 ม.รทก.
ดังนั้น หากยังคงสูบน้ำเข้าพื้นที่ปริมาณมาก จะทำให้น้ำในพื้นที่ลดลงมีผลต่อการใช้น้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค การเกษตรและกิจกรรมอื่นของประชาชนในลุ่มน้ำปากพนัง ในเดือนกันยายน – ตุลาคม ควรสำรวจพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งที่น้ำส่งเข้าพื้นที่ หากความชื้นเพียงพอให้หยุดสูบน้ำ และรักษาปริมาณน้ำที่มีในพื้นที่เพื่อสร้างความชุ่มชื้นจนถึงเดือนตุลาคม แม้สถานการณ์ไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็งจะกลับสู่สภาวะปกติแล้ว แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะความหลากหลายทางชีวภาพของป่าพรุถูกทำลาย และยังกระทบความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก
ส่วนสาเหตุนั้น ชาวบ้านส่วนหนึ่งยอมรับมาจากมนุษย์ที่เข้าไปหาของป่า บางครั้งก่อไฟประกอบอาหาร หรือทิ้งก้นบุหรี่แล้วดับไม่สนิท แต่ก็มีข้อมูลระบุว่า การที่ชาวบ้านเผานั้น เพียงต้องการเผาต้นกระจูดที่แก่ทิ้งให้แตกกอใหม่ ซึ่งชาวบ้านรู้ปัญหาดังกล่าว และหาทางแก้ไขมาตลอด ล่าสุด วางแผนเผาพื้นที่ป่าพรุก่อนแล้ง ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย
การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนนั้น ได้ทำโครงการเสริมศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพื่อเพิ่มความสามารถกักเก็บคาร์บอนและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งได้รับงบประมาณจากโครงการพัฒนาสหประชาชาติและกองทุนสิ่งแวดล้อมโลกโดยลงพื้นที่เก็บข้อมูล และศึกษาผลกระทบ รวมถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์หาทางแก้ปัญหา คาดว่าปี 2563 จะมีแผนแก้ไฟไหม้ป่าพรุเป็นรูปธรรม
อีกไม่นานเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าพรุก็จะเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น และหวังว่าการบูรณาการระดมทั้งกำลังพล งบประมาณ มาดับไฟไหม้…คงจะไม่เกิดขึ้น
