‘เฉลิมชัย’สั่งติดตามโรคไหม้คอรวงข้าว พบ’สุรินทร์-ศรีสะเกษ’ระบาดกว่า3.6แสนไร่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/451191

'เฉลิมชัย'สั่งติดตามโรคไหม้คอรวงข้าว พบ'สุรินทร์-ศรีสะเกษ'ระบาดกว่า3.6แสนไร่

‘เฉลิมชัย’สั่งติดตามโรคไหม้คอรวงข้าว พบ’สุรินทร์-ศรีสะเกษ’ระบาดกว่า3.6แสนไร่

วันศุกร์ ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562, 14.21 น.

“เฉลิมชัย”สั่งกรมการข้าวติดตามและควบคุมสถานการณ์โรคไหม้คอรวงข้าวระบาดอย่างใกล้ชิด พบ”สุรินทร์-ศรีสะเกษ”รวมกว่า360,000ไร่ เร่งแจกจ่ายสารชีวภัณฑ์ไตรโคเดอร์มาให้เกษตรกรฉีดป้องกันแปลงข้าวหอมดอกมะลิ105 ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวปลายเดือนนี้เพื่อไม่ให้ผลผลิตเสียหาย

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมการข้าวควบคุมและแก้ไขการระบาดโรคไหม้คอรวงข้าวใน จ.สุรินทร์ และ จ.ศรีสะเกษ โดยกรมการข้าว รายงานว่า พบการระบาดครั้งแรกในแปลงพยากรณ์ศัตรูพืช (ข้าว) จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 18 ต.ค.62 จากนั้นขยายวงกว้างไป 6 อำเภอ ได้แก่ อ.ลำดวน , อ.สนม , อ.สำโรงทาบ , อ.ปราสาท , อ.โนนนารายณ์ และ อ.ศรีณรงค์ ต่อมาพบการระบาดเพิ่มมากขึ้นเป็น 17 อำเภอ 140 ตำบล 1,331 หมู่บ้าน เกษตรกร 49,204 ราย พื้นที่ระบาด 283,454.75 ไร่

ส่วน สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค.62 พบการระบาดในพื้นที่ 15 อำเภอ ได้แก่ อ.กันทรารมย์ , อ.ขุนหาญ , อ.ขุขันธ์ , อ.โนนคูณ , อ.ปรางค์กู่ , อ.พยุห์ , อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ , อ.ไพรบึง , อ.ภูสิงห์ , อ.เมืองจันทร์ , อ.เมืองศรีสะเกษ , อ.วังหิน , อ.ศรีรัตนะ , อ.ห้วยทับทัน และ อ.อุทุมพรพิสัย ใน 89 ตำบล เกษตรกร 9,940 ครัวเรือน พื้นที่ระบาด 81,506 ไร่ รวมพื้นที่ระบาดทั้ง 2 จังหวัด 364,960 ไร่

นายเฉลิมชัย กล่าวว่า มีความห่วงใยเกษตรกรอย่างยิ่ง เนื่องจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิแหล่งใหญ่ของประเทศ ก่อนหน้านี้ประสบทั้งภาวะฝนทิ้งช่วงและอุทกภัย ซึ่งเมื่อเกิดโรคระบาดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าวได้ จึงให้เร่งควบคุมและแก้ไขการระบาด โดยรายงานต่อ รมว.เกษตรฯ อย่างต่อเนื่อง

ด้าน นายสุดสาคร ภัทรกุลนิษฐ์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยข้าวและศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานเกษตรอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งออกสำรวจติดตามสถานการณ์การระบาดและประเมินความเสียหาย ขณะนี้พบการระบาดในแปลงข้าวหอมมะลิพันธุ์ กข 15 ในช่วงข้าวกำลังออกรวง ใกล้เก็บเกี่ยวได้

ทั้งนี้ โรคไหม้ในข้าว (Rice Blast Disease) เกิดจากเชื้อรา Pyricularia oryzae พบทุกภาคของไทย ทั้งในข้าวนาสวนและข้าวไร่ เกิดได้ทั้งในระยะกล้า ระยะแตกกอ และระยะออกรวง โดยหากเกิดในระยะออกรวงเรียก โรคไหม้คอรวงหรือ โรคเน่าคอรวง เมื่อข้าวเพิ่งเริ่มให้รวง แล้วถูกเชื้อราเข้าทำลาย เมล็ดจะลีบหมด แต่ถ้าเป็นโรคตอนรวงข้าวแก่ใกล้เก็บเกี่ยว จะปรากฏรอยแผลช้ำสีน้ำตาลที่บริเวณคอรวงทำให้เปราะหักง่าย รวงข้าวร่วงหล่นเสียหายมาก จากการสำรวจพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค ผลผลิตเสียหายโดยสิ้นเชิง ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ได้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติแล้ว เกษตรกรจะได้รับค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงการคลัง

อธิบดีกรมการข้าวกล่าวว่า สาเหตุที่มีการระบาดเกิดจากก่อนหน้านี้ พื้นที่ดังกล่าวประสบฝนทิ้งช่วง แล้วน้ำท่วมอย่างฉับพลันทำให้ข้าวชะงักการเจริญเติบโต เมื่อน้ำลดเกษตรกรจึงใส่ปุ๋ยยูเรียและปุ๋ยสูตรที่มีธาตุไนโตรเจนสูง ประกอบกับในแปลงมีต้นข้าวหนาแน่นทำให้อับลม เมื่อเกิดความชื้น มีหมอก น้ำค้างจัด และอากาศเย็นในระยะต่อมาทำให้โรคไหม้พัฒนาอย่างรวดเร็ว หากใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูงเกินกว่า 30 – 50 กิโลกรัมต่อไร่ โรคไหม้จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว กระแสลมแรงทำให้โรคแพร่กระจายเป็นวงกว้าง

อย่างไรก็ตาม กรมการข้าวได้สนับสนุนเชื้อราไตรโคเดอร์มาพร้อมใช้ มอบให้ทุกอำเภอที่พบการระบาดไปแล้วกว่า 1,000 ถุง เพื่อให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวหอมพันธุ์ดอกมะลิ 105 ซึ่งอยู่ในระยะออกรวงและจะเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ใช้ฉีดพ่นในแปลงเพื่อป้องกันการระบาด โดยมีเจ้าหน้าที่เข้าไปสาธิตและแนะนำวิธีการนำไปใช้ที่ถูกต้อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรคไหม้คอรวงข้าว

อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า สารไตรโคเดอร์มาเป็นเชื้อราที่ใช้ป้องกันกำจัดโรคจากเชื้อราได้ ซึ่ง รมว.เกษตรฯ สั่งการให้เพิ่มการผลิตสารไตรโคเดอร์มาเพื่อให้เพียงพอใช้ในการป้องกันโรคในนาทีกำลังจะเก็บเกี่ยวผลผลิต อีกทั้งเผื่อไว้สำหรับฤดูกาลเพาะปลูกหน้า โดยแนะนำให้เกษตรกรใช้สารไตรโคเดอร์มาคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนหว่าน หว่านเมล็ดพันธุ์ประมาณ 10 – 15 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับการใส่ปุ๋ยยูเรียซึ่งมีธาตุไนโตรเจนที่ช่วยให้ต้นข้าวเจริญเติบโตควรใส่แต่ละครั้งไม่เกิน 10 กิโลกรัมต่อไร่

Leave a comment