#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/455913

โลกไม่ได้กลม…อย่างที่เราคิด : จุดสิ้นสุดนั้นมีที่มาจากการเริ่มต้น
1.“Really Important, Help Me Choose D/L” ประโยคนี้ปรากฏขึ้นบน Instagram เมื่อกลางปีที่ผ่านมา(13 พ.ค.) ภายใต้ระบบการใช้งาน(User) ของหญิงสาววัย 16 ปี จากรัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย หลังจากนั้นมีผู้คนบนโลกออนไลน์ผ่านเข้ามาร่วมโหวตจนได้ผลลัพธ์คือ D 69% และ L 31% เธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเองในเวลาต่อมา เมื่อมติเป็นเอกฉันท์ว่า “พวกเขาอยากให้เธอตาย”
ท่ามกลางความตกใจ สับสน และเป็นกังวลของสังคมในเวลานั้นฉิง อี้ หว่อง หัวหน้าฝ่ายการสื่อสารของInstagram APAC (Asia-Pacific)ออกมาสื่อสารหลังเหตุการณ์เกิดขึ้นว่า“เรามีหน้าที่ที่จะต้องทำให้แน่ใจว่าผู้ที่ใช้อินสตาแกรมรู้สึกปลอดภัยและมีกำลังใจ นี่เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของเรา และขอให้ทุกคนใช้เครื่องมือรายงานที่เรามี และติดต่อหน่วยบริการฉุกเฉิน หากพบเห็นพฤติกรรมใดๆ ก็ตามที่ทำให้คนตกอยู่ในความเสี่ยง”
เมื่อเดือนที่ผ่านมา ( 14 ต.ค.) ปรากฏข่าวศิลปินสาวชาวเกาหลีใต้วัยเบญจเพส ชเวจิน-รี หรือ “ซอลลี่” เสียชีวิตภายในบ้านพักของตัวเอง โดยข้อสันนิษฐานหนึ่งของสาเหตุในการเสียชีวิตจากทางเจ้าหน้าที่สืบสวนก็คือ การฆ่าตัวตายเนื่องจากการได้รับความกดดันทางสังคมออนไลน์ ด้วยความคิดเห็นด้านลบ และการระรานทางไซเบอร์ (Cyberbullying) ที่กระทำต่อหลายๆ แนวคิดก่อนหน้านี้ของเธอ ที่ไม่ถูกจริตกับคนส่วนใหญ่ในสังคมของชาวเกาหลีใต้
2.นี่เป็นเพียงบางเหตุการณ์ที่หยิบยกมาในหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ ที่สร้างการสั่นสะเทือนทางความรู้สึก (ด้านลบ) ให้กับผู้คนมากมาย ไปจนถึงการตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของผู้ประกอบการธุรกิจในรูปแบบนี้ ว่านอกจากคำประกาศแสดงความเสียใจและการยืนยันว่าจะหาทางไม่ให้เหตุการณ์อันเลวร้ายเกิดขึ้นอีกแล้ว จะมีการดำเนินการใดบ้างไหมที่จะแสดงความ “จริงใจ” เกี่ยวกับนโยบายด้านความปลอดภัยที่พยายามกล้าวอ้างถึงอยู่เสมอ
“จากผลการทดสอบฟีเจอร์ ไม่แสดงยอดไลค์ในออสเตรเลีย บราซิลแคนาดา ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ซึ่งได้รับการตอบรับในทางที่ดี การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นฐานของ Instagramซึ่งเราก็จะยังทดสอบฟีเจอร์นี้เพื่อเรียนรู้จากชุมชนผู้ใช้งานทั่วโลก
“โดยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราได้ขยายพื้นที่การทดสอบ Private Like Counts ออกไปทั่วโลก และถ้าคุณอยู่ในช่วงการทดสอบนี้ คุณก็จะไม่เห็นยอดไลค์หรือยอดการรับชมของภาพและวีดีโอที่ปรากฏบนหน้าฟีดอีกต่อไป ยกเว้นว่าโพสต์นั้นๆ เป็นโพสต์ของคุณ”
นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Instagram ภายหลังผ่านการทดลองในบางประเทศมาสักระยะแล้ว ก็จะขยายการทดลองไม่โชว์ยอดไลค์ ยอดรับชม (ดูได้แต่ยอดไลค์ ยอดรับชมของตัวเอง)ไปในระบบทั่วโลก นั่นรวมไปถึงการส่งสัญญาณของ Twitter และ Facebook สอง Platform ยักษ์ใหญ่ในแวดวงสังคมออนไลน์ ที่น่าจะมีแนวทางในการสร้างความปลอดภัย (ต่อจิตใจ)ในลักษณะเดียวกันกับ Instagram ออกมาในเร็วๆ นี้
3.แม้ว่าการเริ่มต้นของแนวทางต่างๆ ในการสร้างความ “อุ่นใจ” ให้กับสมาชิกสังคมออนไลน์กำลังดำเนินไปอย่างมีความหวัง แต่ก็มีการตั้งคำถามถึงผลกระทบต่อผู้ใช้งานบนสังคมออนไลน์ ในรูปแบบของการทำมาหากิน (ในเชิงธุรกิจ) ว่า จะบริหารเรื่อง “ความปลอดภัย” และ “การสร้างกำไร” ให้มีความสมดุลกันได้อย่างไร ในเมื่อรูปแบบใหม่ๆ กำลังทำให้รายได้ของพวกเขาสั่นคลอน ซึ่งคำถามนี้ยังไม่มีคำตอบ
นี่เป็นภาพที่ชัดเจนเหลือเกินสำหรับสิ่งที่เรียกกันว่า “ผลข้างเคียงของความก้าวหน้า” ในขณะที่สังคมออนไลน์สร้างมูลค่ามหาศาลให้กับโลกแห่งเศรษฐกิจ แต่ภายใต้การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินต่อใครก็ตามที่ได้รับอานิสงส์ในรูปแบบของธุรกิจชนิดนี้ ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังถูก “ย่ำยีความเป็นมนุษย์” และ “ทำลายความเชื่อมั่นในตัวเอง” ด้วยเครื่องมือชนิดเดียวกัน ที่ควรต้องอยู่นอกเหนือการเปรียบเทียบในเรื่องผลลัพธ์ในแง่บวกหรือลบว่าอย่างไหน “คุ้มค่า” มากกว่า เพราะแค่เพียงชีวิตเดียวที่เสียไปก็มากเกินการประเมินมูลค่าที่สร้างมาทั้งหมดเสียแล้ว “จารอน ลาเนียร์” จึงสื่อสารบอกกับพวกเราว่า “เดินออกมาจากสังคมออนไลน์กันเถอะ”
ในหนังสือ Ten Arguments for Deleting Your Social MediaAccounts Right Now ของเขานั้น ระบุถึงการทำงานของรูปแบบธุรกิจบริหารสังคมออนไลน์ว่า มีลักษณะแบบ “BUMMER”(Behavior of Users Modified, and Made into an Empire for Rent) คือ ทำงานด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของสมาชิกในระบบ เพื่อรวบรวมข้อมูลส่วนตัว และนำไปสร้างผลกำไรให้กับบริษัทของตัวเอง ด้วย“หัวใจ” ในการขับเคลื่อนเช่นนี้เองที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ จึงพยายามชี้ให้เห็นถึงผลกระทบด้านลบจากการมีบัญชีในระบบสังคมออนไลน์ถึง 10 ข้อด้วยกัน อาทิ ทำให้เราเสพติดการอยู่ในโลกออนไลน์ ด้วยสร้างสิ่งที่หลอกล่อจริตต่างๆ ในตัวเรา (ความอยากรู้อยากเห็น, อารมณ์โกรธ เกลียด หลงใหล,ต้องการเป็นคนสำคัญ, ชอบอวด ชอบโชว์) บ่มเพาะความขัดแย้ง และทำลายความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน (ดึงด้านหยาบของมนุษย์ออกมา) เป็นต้น
4.หนังสือเล่มนี้ยังอ้างถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่พบว่า ผู้คนในระบบของสังคมออนไลน์ จะมีส่วนร่วมกับระบบมากขึ้น (ใช้งานมากขึ้น) และเป็นไปตามทิศทางที่ระบบต้องการมากขึ้น (ถูกชักจูงพฤติกรรม) ก็ต่อเมื่อตนเองมีความรู้สึกว่า “พร่องอะไรไป” ยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งกระวนกระวายเท่านั้นยกตัวอย่างเรื่องของยอดไลค์ก็เป็น“แรงจูงใจ” ที่สำคัญ ดังนั้น การสร้าง“ความรู้สึกที่เป็นลบ” จึงเป็น “ผลดี”ต่อธุรกิจในรูปแบบนี้
Tom Rath นักเขียนและนักวิจัยด้านพฤติกรรมมนุษย์ เคยบอกผ่านหนังสือของเขา (Are You Fully Charged) ถึงงานวิจัยที่ชื่อ “การติดต่อทางอารมณ์ขนานใหญ่ผ่านเครือข่าย” ของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันว่า เมื่อปี 2013 นักวิจัยได้ทำการทดลองโพสต์ข้อความเชิงบวกและลบผ่านระบบสังคมออนไลน์ และแนวโน้มในการปรากฏข้อความเชิงบวกและลบที่ออกมานั้น แสดงความเชื่อมโยงกันในรูปแบบของ “การชี้นำ” คือ ถ้าเน้นการโพสต์เชิงบวก ก็จะมีการปรากฏของข้อความอื่นๆ ในเชิงบวกเกิดขึ้นตามพื้นที่ของผู้ที่ทำการทดลอง และเมื่อเน้นการโพสต์เชิงลบ ผลลัพธ์ก็จะกลับกัน
และนี่เองเป็นที่มาของข้อสรุปที่ว่า อิทธิพลของการปฏิสัมพันธ์ (ไม่ว่าช่องทางใด) มีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยกัน คล้ายๆ เป็นการส่งต่อพลังในรูปแบบต่างๆ ผ่านกันไป ท้ายที่สุดก็อยู่ที่เราแล้วว่า “มีรสนิยม” ต่ออารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมแบบไหน เพราะสิ่งนี้จะพาเราไปอยู่ในพื้นที่ตรงนั้น