#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/local/555150

ซอกแซกอาเซียน : 25 กุมภาพันธ์ 2564
วันพฤหัสบดี ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564, 06.00 น.
เมื่อได้ทราบธรรมชาติและความสำคัญของเมล็ดพันธุ์ข้าวแล้ว ทีนี้ก็อาจจะมีคำถามว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวที่จะนำมาปลูกในประเทศไทยนั้น ปกติต้องใช้ปริมาณทั้งสิ้นเท่าใดและเอามาจากไหนบ้าง ถึงตรงนี้ ผมขออนุญาตกำชับท่านผู้อ่านที่มิใช่นักเกษตร โปรดกลับไปทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า พันธุ์ (variety) กับ เมล็ดพันธุ์ (seed) อีกสักครั้งก่อนที่จะอ่านต่อไปนะครับ
เบื้องต้น ขอเรียนว่า นับเป็นความโชคดีอย่างล้นเหลือที่ฟ้าประทานให้ประเทศไทยเรามีพื้นที่ทำนากว้างใหญ่ไพศาล เรามีที่ราบลุ่มเจ้าพระยาใหญ่โตสุดลูกหูลูกตาในเขตภาคกลางที่เหมาะสมอย่างยิ่งต่อการทำนาปลูกข้าว ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีพื้นนาที่ดอนและที่สูงในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ รวมทั้งภาคใต้อีกมากมายมหาศาลเช่นกัน จนเมื่อรวมกันทั้งประเทศสามารถผลิตข้าวได้พอเพียงต่อการบริโภคภายในประเทศ ซ้ำยังเหลือส่งขายไปต่างประเทศอีกเป็นจำนวนมากในแต่ละปี นอกจากนี้ เรายังมีชนิดพันธุ์ข้าวที่คุณภาพเยี่ยมอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าผู้ที่บริโภคข้าวทั่วโลก ใครๆ ก็รู้จักชื่อเสียงกิตติศัพท์ของข้าวไทย ทำให้เราส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี แม้ว่าปัจจุบัน อันดับการส่งออกของไทยอาจหล่นจากที่หนึ่งไปบ้าง แต่ก็วนเวียนอยู่ไม่เกินที่สามของโลกอย่างมั่นคง
ทว่า ในความโชคดีนั้น ก็ตามมาด้วยปัญหาอุปสรรคอยู่หลายอย่างหลายประการ และหนึ่งในหลายๆ อย่างนั้น คือว่าจะเสาะหาเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวหัวเชื้อดีๆ ที่ไหนมาใช้ปลูกในพื้นที่นาจำนวนมากมหาศาลเหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ เพราะถ้าคำนวณจากพื้นที่นาทั้งหมดของประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ 60 กว่าล้านไร่ มีการทำนาปีประมาณเกือบเต็มพื้นที่ และยังมีการทำนารอบสองหรือนาปรังอีกปีละประมาณ 6-7 ล้านไร่ ผลปรากฏว่า เราจะต้องใช้ในปริมาณเมล็ดพันธุ์มหึมาคร่าวๆ ถึงปีละ 1.3 ล้านตัน มองดูเผินๆ แล้วเป็นจำนวนมโหฬารที่ยากมากที่จะหาได้อย่างเพียงพอ ฟังอย่างนี้ใครที่เป็นนักธุรกิจอาจจะตาลุกวาว เพราะถ้าเมล็ดพันธุ์ข้าวราคากิโลกรัมละ 30 บาท ยอดรวมรายได้จากการผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวจะสูงถึงกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
แต่เดี๋ยวครับ กรุณาหยุดฝันหวานก่อน เพราะข้อเท็จจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ปลูกอยู่ทุกวันนี้ โดยธรรมชาติ สามารถเก็บไว้ปลูกต่อๆ กันไปได้โดยไม่รู้จบ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องไปซื้อหาจากภายนอกทุกครั้งที่ต้องการปลูก เว้นเสียแต่ว่าชาวนาผู้ปลูกต้องการจะเปลี่ยนชนิดพันธุ์ข้าวจากพันธุ์เดิมที่เคยปลูกอยู่ (และยกเว้นกรณีเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวลูกผสม หรือ hybrid rice seed ที่ปลูกได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น) จะเห็นได้จากการที่ประเทศไทยเรามีการทำนาปลูกข้าวมาแต่ครั้งก่อนกรุงสุโขทัย หรือมากกว่า 1,000 ปีเราไม่เคยพบหลักฐานปรากฏว่ามีบริษัทห้างร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวมาก่อน หากแต่ชาวนาใช้วิธีเก็บคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยตนเอง หรืออาจหยิบยืม แลกเปลี่ยนจากเพื่อนบ้านมาใช้ปลูกกันซะเป็นส่วนใหญ่ แนวปฏิบัติแบบนี้ ได้สืบทอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ดังนี้ จึงประเมินได้ว่าปริมาณความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าว (ที่ใหม่ๆ โดยไม่ต้องเก็บเอง) นั้นมีจำนวนน้อยกว่าปริมาณ 1.3 ล้านตัน ที่ต้องมีใช้ปลูกจริงๆ มากทีเดียว และจากข้อเท็จจริงอันนี้จึงช่วยทำให้ปํญหาอุปสรรคในด้านขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่กล่าวข้างต้นของประเทศไทย ดูจะผ่อนคลายลงไประดับหนึ่ง อีกทั้งยังทำให้ฝันหวานของผู้คิดจะทำอาชีพผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวขายต้องมลายลงไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่กระนั้นก็ตาม ในยุคสังคมมนุษย์ที่มีการพัฒนาในทุกด้าน บวกกับการที่สภาวะภูมิอากาศของโลกตลอดจนสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นในปัจจุบัน การจะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เก็บไว้เองซ้ำๆ กันปลูกทุกปีเหมือนอย่างแต่ก่อน จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากขึ้น เพราะอาจทำให้ผลผลิตตกต่ำลง โรคแมลงรบกวนได้ง่ายขึ้น รวมทั้งคุณภาพของผลผลิต เช่น กลิ่นหอม ความนุ่ม ความอร่อย ด้อยลงไป จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ใหม่อยู่บ้าง ในทางวิชาการปัจจุบันบอกว่า ชาวนาไม่ควรใช้เมล็ดพันธุ์เก่าที่เก็บไว้เองปลูกเมื่อเกิน 3-4 ฤดูกาล ยิ่งในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น ในยุโรป อเมริกา ชาวนาของเขาจะซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ปลูกทุกปีโดยไม่มีการเก็บไว้เองเลย คงต้องมาว่ากันต่อในฉบับหน้าครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี