คุยกัน7วันหน : สหรัฐฯ ไฟเขียว ประเทศบอลติก ขนอาวุธเข้ายูเครน หวังยับยั้งรัสเซีย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/630442

คุยกัน7วันหน : สหรัฐฯ ไฟเขียว ประเทศบอลติก ขนอาวุธเข้ายูเครน หวังยับยั้งรัสเซีย

วันอาทิตย์ ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2565, 06.05 น.

ยังคงตามกันต่อกับประเด็นความขัดแย้งเหนือวิกฤตยูเครน ที่นับวันก็ยิ่งร้อนระอุ ท่ามกลางคำถามว่า จะเกิดสงครามขึ้นหรือไม่ และวิถีทางการทูตจะช่วยคลี่คลายวิกฤตนี้อย่างไร

สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกยังคงพยายามอย่างหนักที่จะใช้วิถีทางการทูตยับยั้งไม่ให้รัสเซียบุกยูเครน ล่าสุด แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางไปถึงนครเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อหารือกับ เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย โดยก่อนหน้านี้ บลิงเคนเพิ่งจะเดินทางไปร่วมประชุมกับพันธมิตรยุโรป ที่กรุงเบอร์ลิน ของเยอรมนี และได้ข้อสรุปว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรปจะเสนอมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียอันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างรุนแรง เพื่อตอบโต้หากรัสเซียรุกรานยูเครน ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนี เรียกร้องให้รัสเซีย ลดระดับพฤติกรรมก้าวร้าวที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงลง มิฉะนั้นจะเผชิญกับการคว่ำบาตรหลายระดับ

รัสเซียกำลังรอคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษรจากสหรัฐฯ และนาโต หลังการประชุม 3 รอบ ที่ยุโรปไม่มีความคืบหน้า เมื่อเร็วๆ นี้รัสเซียเพิ่งประกาศว่าจะไม่มีการเจรจากับยูเครนจนกว่าจะได้รับคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษรจากชาติตะวันตก แต่บลิงเคน ระบุว่า จะยังไม่มีการเสนอคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษรในการเจรจากับรัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียครั้งนี้ในสัปดาห์นี้

การเดินทางของบลิงเคนมีขึ้น ท่ามกลางความกังวลของชาติตะวันตกว่ารัสเซียอาจสร้างสถานการณ์เพื่อหาข้ออ้างบุกยูเครน และอาจจะบุกยูเครนเร็วๆ นี้ เพราะนอกจากมีการวางกำลังนับแสนนายประชิดพรมแดนยูเครน กองทหารรัสเซียได้เดินทางไปยังเบลารุส สร้างความกังวลต่อประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ว่าจะยิ่งทำให้สถานการณ์ความมั่นคงภูมิภาคไร้เสถียรภาพมากขึ้น อย่างไรก็ดีรัสเซียซึ่งไม่ยอมหยุดการเสริมกำลังทหารตามแนวชายแดนยูเครน ปฏิเสธว่าไม่ได้วางแผนจะโจมตียูเครน และการส่งทหารไปเบลารุสก็เพื่อซ้อมรบร่วมกันเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้รัสเซียเคยระบุว่าอาจดำเนินการทางทหาร หากชาติตะวันตกไม่ยินยอมตามข้อเรียกร้องด้านความมั่นคงของตน ที่รวมถึงการที่ไม่ต้องการให้นาโตรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกการขอให้นาโตหยุดขยายตัวมาทางตะวันออกและให้ถอนกำลังทหารออกจากประเทศในยุโรปตะวันออกและยุโรปกลาง ที่เข้าเป็นสมาชิกนาโตหลังปี 1997

การที่สหรัฐฯ และพันธมิตรนาโต ไม่ตอบรับข้อเรียกร้องของรัสเซียทำให้เกิดความกังวลว่าอาจจะเกิดสงครามตามมา โดยขณะนี้ มีเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯเกือบ 200 นายในยูเครน ทำหน้าที่ฝึกทหารยูเครนร่วมกับกองทัพพันธมิตรนาโต เช่น แคนาดา และเยอรมนี และยังมีกองกำลังพิเศษของสหรัฐฯที่ไม่ได้เปิดเผยจำนวนกำลังทำงานร่วมกับกองทัพยูเครนเพื่อฝึกอบรมให้กับกองทัพยูเครน แต่นโยบายขณะนี้ของไบเดนระบุว่า กองทัพสหรัฐฯ จะไม่ต่อสู้กับรัสเซีย หากรุกรานยูเครน และหากรัสเซียบุกยูเครนจริง เจ้าหน้าที่เหล่านี้ น่าจะทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและช่วยอพยพชาวอเมริกันในยูเครนมีอยู่ประมาณ 10,000-15,000 คน

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า เมื่อวันพุธที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้มอบเงินช่วยเหลือด้านการป้องกันประเทศ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,400 ล้านบาท ให้กับยูเครน และเพิ่มจากเดิมที่เคยมอบให้ 450 ล้านดอลลาร์ หรือราว 14,400 ล้านบาท เมื่อปีที่แล้วก่อนที่รัสเซียจะเริ่มเคลื่อนย้ายทหารหลายหมื่นนายไปยังชายแดนยูเครน ล่าสุดมีรายงานว่า ไบเดนไฟเขียวให้ประเทศแถบบอลติก เร่งส่งอาวุธที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ไปยังยูเครนแล้ว เพื่อหวังยับยั้งการรุกรานรัสเซีย ตามหลังสหราชอาณาจักรที่ส่งอาวุธไปให้ยูเครนใช้ป้องกันตัว

แม้สหรัฐฯ จะประกาศว่าพร้อมรับมือกับรัสเซียทุกทาง ไม่ว่าจะกลับไปยังโต๊ะเจรจา หรือจะเผชิญหน้าก็ตาม แต่วิธีที่ชาติตะวันตกต้องการให้เกิดผลที่สุดก็คือการเจรจาทางการทูต เวนดีเชอร์แมน รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เข้าร่วมเจรจากับตัวแทนฝ่ายรัสเซียก่อนหน้านี้ เสนอให้กลับไปใช้สนธิสัญญากำลังนิวเคลียร์พิสัยกลาง หรือ INF (Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty) หรือ สนธิสัญญาระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต ว่าด้วยการกำจัดขีปนาวุธพิสัยกลางและพิสัยสั้นกว่าของสองประเทศ ที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนตัวออกไปอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2019 โดยอ้างว่ารัสเซียไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญาดังกล่าว

โธมัส เกรแฮม อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เขียนบทความถึงเรื่องนี้ว่า ควรเสนอให้รัสเซียห้ามแตะต้องยูเครนหรือประเทศอดีตสหภาพโซเวียตอื่นๆเป็นเวลา 20-25 ปี ขณะที่สตีเวน ไฟเฟอร์ชี้ว่า การจะเปลี่ยนแปลงนโยบายเปิดกว้างรับสมาชิกของนาโต ตามที่รัสเซียต้องการ ต้องได้รับการเห็นด้วยจากสมาชิกทั้ง 30 ชาติ ที่ขณะนี้อาจเป็นไปไม่ได้แต่ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

Leave a comment