#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/642561

วันจันทร์ ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2565, 07.07 น.
“การที่เด็กอยู่เองได้ โตเองเป็น จะต้องดูแลตัวเองได้จริง โดยที่ไม่ต้องมีผู้อื่นคอยเป็นหลักในการใช้ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งมีหลายคนยังต้องพึ่งพาผู้ปกครอง หรือพึ่งพาคนอื่นอยู่ จึงทำให้การที่จะทำให้เด็กสามารถพึ่งพาตนเองได้จะทำให้เด็กภูมิใจในสิ่งที่ทำและมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตต่อไปได้”
คำกล่าวของ พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต ในงานเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “อยู่เองได้ โตเองเป็น : เพราะเด็กทุกคนเขียนชีวิตได้ด้วยมือตัวเอง” ซึ่งจัดโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้เพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตนเองในอนาคต ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้และพึ่งพาตนเองได้มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1.ปัจจัยทางชีวภาพ เด็กบางคนเกิดมามีความพร้อมที่จะพึ่งพาตนเองได้ และบางคนที่เกิดมามีความพร้อมก็จริง แต่มีความใจร้อน ขาดความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นปัจจัยโดยนิสัยธรรมชาติของเด็ก 2.ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา หมายถึงการเลี้ยงดูของผู้ปกครองที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แม้ผู้ปกครองไม่สามารถปรับเปลี่ยนนิสัยเด็กได้โดยทันที แต่การเลี้ยงดูจากครอบครัวจะช่วยทำให้เด็กสามารถเปลี่ยนนิสัยได้ แต่ถ้าไม่มีทัศนคติจะทำให้ทักษะที่เรียนรู้มาจะใช้ไม่ได้ เนื่องจากเด็กมองผู้ปกครองว่าไม่มีความจริงใจ
และ 3.ปัจจัยเชิงสังคม หมายถึงสังคมที่ขาดโอกาสจะผลักดันให้เป็นอีกแบบ แต่ถ้าสังคมมีโอกาสให้เด็กจำนวนมาก จะทำให้ผลักดันทักษะของเด็กจนสามารถอยู่เองเป็น นอกจากนี้ เมื่อไหร่ก็ตามถ้าผู้ปกครองรู้สึกว่าเด็ก “มีดี” จะเป็นปัจจัยสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะทำให้ผู้ปกครองไว้ใจว่าเด็กสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้ามีทัศนคติที่ไม่ดีหรือยังเป็นห่วงเด็กอยู่ จะทำให้เด็กไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้
“ผู้ปกครองควรปรับทัศนคติที่มองต่อเด็กใหม่ เด็กทุกคนมีความดีและความเก่งทุกคน แต่ผู้ปกครองมักจะมองไม่เห็นและไม่ใช่สิ่งที่ผู้ปกครองคาดหวัง นอกจากนี้ผู้ปกครองควรมีเวลาเท่าที่มีอยู่กับเด็กและไม่ทะเลาะกันและรับฟังความคิดของเด็ก ซึ่งการที่ไม่ทะเลาะกันเด็กจะมองว่าพื้นที่ในบ้านมีความปลอดภัย” พญ.วิมลรัตน์ กล่าว
ด้าน รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง คณบดีคณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) ระบุว่า แม้เด็กและเยาวชนในปัจจุบันมีไม่น้อยที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ แต่ก็ยังมีไม่มากพอในสังคม ซึ่งจากที่เคยทำงานวิจัยการเรียนรู้ของเด็กในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 พบว่า การปิดเรียนในช่วงโควิด-19 มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กเป็นอย่างมาก“เด็กขาดทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ายังมีปัญหาเรื่องของการพึ่งพาตนเอง
โดยปัญหาเกิดจาก 1.การเลี้ยงดูของผู้ปกครอง และ 2.โรงเรียนยังไม่มีการปรับตัวมากพอ ที่จะทำให้เด็กมีความพร้อมที่จะเรียนรู้และอยู่ด้วยตัวเองได้ นอกจากนี้ในทางเศรษฐศาสตร์การที่ครอบครัวมีทรัพยากรที่น้อย จะเป็นการบังคับให้ผู้ปกครองไม่มีเวลาแก่เด็ก ซึ่งการแก้ปัญหาทำได้โดย “การศึกษา” เพื่อให้เด็กที่ยากจนได้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ “การมีข้อตกลงที่ชัดเจน” เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ซึ่งข้อตกลงจะต้องไม่มากจนเกินไป ต้องมีเหตุผล และมีความจริงใจ
รศ.ดร.วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา หัวหน้าภาควิชาการศึกษาตลอดชีวิต และหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยเพื่อการพัฒนาด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญในสังคมไทย ทำให้ผู้ปกครองหลายคนมักบอกว่าโลกปัจจุบันและอนาคตค่อนข้างน่ากลัวกว่าในอดีต เห็นได้จากสิ่งเร้ารอบตัวมีจำนวนมาก จึงทำให้ผู้ปกครองมองว่าตนเองผ่านประสบการณ์มาก่อน อยู่ในกรอบความคิดแบบเดิมๆ ทำให้ผู้ปกครองตัดสินใจหลายๆ อย่างแทนเด็ก ซึ่งเด็กจะไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่อย่าลืมว่าโลกอนาคตจะเป็นโลกของเด็กที่จะเติบโต เด็กควรจะมีสิทธิ์ที่จะออกแบบชีวิตตัวเองได้
“ผู้ปกครองมักมองว่าตนเองพยายามที่จะพัฒนาเด็กให้เป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุขแต่ใช้วิธีการพัฒนาเด็กที่เป็นเชิงลบ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเด็ก เช่น 1.ชอบเปรียบเทียบ ซึ่งทำให้เกิดความริษยาเกิดขึ้นในตัวเด็ก 2.หลอกให้กลัว ถึงแม้จะเป็นความปรารถนาดีของผู้ปกครอง แต่ไม่ค่อยดีกับเด็กเท่าไร3.ใช้ความรุนแรง ผู้ปกครองมักคิดว่าใช้วิธีนี้ได้ผล แต่จะทำให้เด็กเกิดการต่อต้านขึ้น และไม่กล้าทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง และ 4.แนวคิดการเรียนเก่งทำให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นแนวคิดแบบแพ้คัดออก ทำให้เด็กขาดคุณธรรมเพื่อแย่งชิงในสิ่งต่างๆ” รศ.ดร.วีระเทพกล่าว
ขณะที่ผู้ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ประจำปี 2564 ประทิน เลี่ยนจำรูญ ครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ วิทยาลัยเทคนิคพังงา ให้ความเห็นว่า ปัญหาที่เด็กและเยาวชนหลายคนไม่อยากไปโรงเรียนเกิดจากสิ่งที่ไปควบคุมตัวเด็ก คือ “กฎและระเบียบไปกำหนดว่าจะต้องทำอย่างไร” ถ้าไม่ทำตามจะมีบทลงโทษ หรือบางทีอาจจะมีการใช้วาจาที่ทำให้เด็กมองแล้วรู้สึกว่าไม่ดี และเกิดการต่อต้านจากตัวเด็กไปในทางที่ไม่ถูกต้อง
นอกจากนี้ การกลัวในความผิดพลาดของเด็กเป็นสิ่งที่ปกติ แต่การที่เด็กพบกับความผิดหวังบ้าง จะทำให้เด็กได้เรียนรู้ผิดพลาดของตนเอง เพราะฉะนั้นการให้โอกาสให้เด็กได้แก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดจะต้องให้โอกาสหลายๆ ครั้ง ไม่ใช่ให้โอกาสแค่ครั้งเดียว ซึ่งจะทำให้เด็กมีกำลังใจและจะตอบแทนผู้ให้โอกาสอย่างที่สุด!!!



