#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/645203

วันอาทิตย์ ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.
สถาปัตยกรรมสุโขทัย
ด้วยงานช่างในอดีตนั้น มุ่งเน้นงานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่เกี่ยวกับศาสนาและกษัตริย์เป็นหลัก การออกแบบจึงมีกระบวนการงานช่างที่สืบทอดต่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นฝีมือช่างหลวงหรือช่างท้องถิ่น ต่างมีวิวัฒนาการต่อเนื่องมาตลอด โดยมีระเบียบแบบอย่างที่เคร่งครัด ดังเห็นได้จากการจัดสร้างอาคารจากแนวคิดการสร้างจักรวาล ซึ่งมีแผนผังวัดสมัยสุโขทัยและอยุธยา ที่ใช้ระบบแนวแกนดิ่งเป็นหลักและมีแนวแกนราบเข้ามาสัมพันธ์ด้วยตำแหน่งของเจดีย์ประธานหรือพระมหาธาตุอันถือได้ว่าเป็นแนวแกนกลางของจักรวาล หรือเขาพระสุเมรุวิหารหลวงอยู่ส่วนหน้าของแนวแกน ถัดไปเป็นเจดีย์ประธานที่ล้อมรอบด้วยระเบียงคดรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เชื่อมกับวิหารส่วนหน้าหรืออุโบสถส่วนหลังในแนวแกนดิ่ง แต่ด้วยอุโบสถสมัยสุโขทัยมีขนาดเล็กมาก จึงไม่ให้ความสำคัญมากนัก สมัยอยุธยาการสร้างอุโบสถได้แพร่หลายมากจึงมีอาคารประเพณีที่สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลายมีลักษณะเฉพาะของยุคสมัย แผนผังเจดีย์ได้ยุติการใช้เจดีย์เป็นประธานในแผนผัง แต่ใช้อุโบสถหรือวิหารเป็นประธานแทน แล้วใช้กำแพงแก้วเป็นแนวล้อมเพื่อเน้นอาคารและเน้นเจดีย์ประธานแยกจากเจดีย์รายซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ชายคาจึงกุดป้อม หลังคามักจะเป็นผืนเดียวไม่ซ้อนชั้น ซึ่งเรียกว่า แบบหลวง เป็นนัยการสร้างอาคารตามขนบประเพณีซึ่งถูกรักษาและพัฒนาจากช่างหลวงต่อมาเรียกเป็น แบบประเพณี ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ได้เรียกแบบอาคารที่สร้างตามขนบประเพณีนั้นว่า“วัดแบบขนบนิยม” และวัดที่รัชกาลที่ ๓ โปรดให้สร้างแบบใหม่ว่า “วัดทรงประดิษฐ์ใหม่” ภายหลังเรียกว่า “แบบพระราชนิยม” ในรัชกาลนี้การเปลี่ยนแปลงรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประเพณีอย่างชัดเจนคือ เปลี่ยนจากอาคารแบบทรงไม้มาเป็นอาคารทรงตึกที่มีการตกแต่งทางสถาปัตยกรรมในลักษณะที่ได้รับอิทธิพลจีน ในสมัยรัชกาลที่ ๔ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เช่น มีการใช้รูปทรงโค้งรับน้ำหนักระหว่างเสาอาคารหรือการตกแต่งเช่น ใช้หินอ่อนนำเข้าจากต่างประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการพัฒนารูปแบบไทยประเพณีไม่เฉพาะแต่ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา มีการสร้างอาคารหลายชั้นที่ผสมผสานระหว่างรูปแบบตะวันตก และไทยประเพณี
ก่อนพุทธศักราช ๒๔๕๔ ประเทศยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบงานโดยตรง อันเกี่ยวกับมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ บรรดาโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม การดนตรี นาฏศิลป์ งานช่างประณีตศิลป์ หอสมุด จดหมายเหตุ และพิพิธภัณฑ์ ฯลฯ ด้วยกิจการดังกล่าวได้กระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆจนทำให้ราชการบางอย่างไม่เป็นระเบียบหรือมีงานที่ก้าวก่ายกันอยู่

ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่๖ ผู้ตั้้งกรมศิลปากร
ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โอนกิจการของช่างมหาดเล็กจากกระทรวงวัง และกรมพิพิธภัณฑ์ จากกระทรวงธรรมการ มารวมกันตั้งเป็น “กรมศิลปากร” โดยให้มีผู้บัญชาการขึ้นตรงต่อกษัตริย์ ซึ่งจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ใดในกระทรวง หรือกรมใดเป็นผู้บัญชาการเมื่อใดก็ได้ สุดแต่ทรงพระราชดำริเห็นเหมาะสม ครั้งแรกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ ทรงเป็นผู้บัญชาการกรมศิลปากรพระองค์แรก ด้วยพระราชญาณทัศนะของสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าที่ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของมรดกศิลปวัฒนธรรม อันเป็นมูลฐานแสดงให้เห็นถึงความเจริญของชาติ จึงตั้ง “กรมศิลปากร” ให้ดำเนินภารกิจดูแลมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา ๑๑๑ ปีแล้ว ที่กรมศิลปากร ได้พัฒนาสร้างสรรค์บนหลักความถูกต้องทางวิชาการ มีคุณภาพและมาตรฐาน สังคมและประเทศชาติ ที่ให้ประโยชน์ ทั้งในด้านการศึกษาเรียนรู้ และด้านการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ งานด้านภาษา เอกสารและหนังสือ งานนาฏศิลป์และดนตรี งานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมและช่างศิลป์ไทย รวมไปถึงงานสนับสนุนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ..ที่ต้องเพิ่มช่องทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสารงานมรดกศิลปวัฒนธรรมของกรมศิลปากร โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ Facebook Youtube Application line ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในสังคมปัจจุบัน

กรมพระนเรศวร์

คลังกลางโบราณวัตถุ

อาคารกรมศิลปากร

โบราณวัตถุชิ้นสำคัญ

หนังสือ ๑๑๑ ปี กรมศิลปากร

พัฒนาการจัดพิพิธภัณฑ์

พระพิฆเณศหน้าอาคารใหม่

ผู้บริหารกรมศิลปากร

ทำบุญวันเกิดกรมศิลปากร